Knowledge
โรงงานพลาสติก ขวดพลาสติก บรรจุภัณฑ์ | K.V.J. Union Co., Ltd.

News & Updates

Archive for Knowledge

สีส่งผลต่ออารมณ์ในการซื้อและแบรนด์สินค้า

สีส่งผลต่ออารมณ์ในการซื้อและแบรนด์สินค้า

สีมีผลกระทบอย่างมากต่ออารมณ์และการรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อและความสัมพันธ์ของแบรนด์ สีที่ต่างกันทำให้เกิดอารมณ์ที่แตกต่างกันและสามารถสื่อข้อความเฉพาะ ทำให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ สีส่งผลต่ออารมณ์ในการซื้อและการรับรู้แบรนด์อย่างไร:

การเชื่อมโยงทางอารมณ์: สีสามารถทำให้เกิดอารมณ์หรือความรู้สึกที่เฉพาะเจาะจงได้ รายละเอียดสามารถดูจากภาพ

เอกลักษณ์ของแบรนด์: สีมีบทบาทสำคัญในการสร้างเอกลักษณ์และการรับรู้ของแบรนด์ การใช้สีเฉพาะอย่างสม่ำเสมอจะทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำได้ง่ายและช่วยให้ผู้บริโภคจดจำได้

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ระดับความโปร่งแสงสีขวด Plastic Colour Intensity Level

ระดับความโปร่งแสงสีขวด

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ความสำคัญของสีในการสร้างแบรนด์

ความสำคัญของสี

สีมีบทบาทสำคัญในการสร้างแบรนด์จากการกระตุ้นอารมณ์ สื่อข้อความ และ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างสี และ แบรนด์สินค้า

เอกลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity): สีเป็นองค์ประกอบสำคัญของเอกลักษณ์ทางภาพของแบรนด์ ช่วยสร้างการจดจำและสร้างความแตกต่างของแบรนด์จากคู่แข่ง การใช้สีที่สอดคล้องกันในองค์ประกอบต่างๆ ของแบรนด์ เช่น โลโก้ บรรจุภัณฑ์ และสื่อการตลาด ช่วยสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์

ผลกระทบทางอารมณ์ (Emotional Impact): สีมีความสามารถในการกระตุ้นอารมณ์ ตัวอย่างเช่น สีโทนร้อนอย่างสีแดงและสีส้มมักเกี่ยวข้องกับพลังงาน ความตื่นเต้น และความหลงใหล ในขณะที่สีโทนเย็นอย่างสีน้ำเงินและสีเขียวสามารถทำให้เกิดความรู้สึกสงบ ไว้วางใจ และเป็นธรรมชาติ แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้สีที่สอดคล้องกับอารมณ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมาย

บุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality): สีสามารถช่วยสร้างบุคลิกและลักษณะเฉพาะของแบรนด์ได้ ตัวอย่างเช่น สีม่วงมักจะเกี่ยวข้องกับความหรูหราและความซับซ้อน ในขณะที่สีเหลืองเกี่ยวข้องกับการมองโลกในแง่ดีและความอ่อนเยาว์ แบรนด์ต่าง ๆ เลือกสีที่สะท้อนถึงลักษณะนิสัยและค่านิยมที่พวกเขาต้องการ

ความสำคัญทางวัฒนธรรมและบริบท (Cultural and Contextual Significance): สีสามารถมีความหมายและความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคและสังคม ตัวอย่างเช่น สีแดงอาจหมายถึงความโชคดีและการเฉลิมฉลองในบางวัฒนธรรม ในขณะที่อาจแสดงถึงอันตรายหรือคำเตือนในบางวัฒนธรรม

การพิจารณากลุ่มเป้าหมาย (Target Audience Considerations): สีที่ต่างกันสามารถสะท้อนความแตกต่างกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ แบรนด์ควรคำนึงถึงข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าสีที่เลือกนั้นสอดคล้องกับความชอบและสอดคล้องกับค่านิยมของพวกเขา

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

บรรจุภัณฑ์ และ ภาพลักษณ์ของแบรนด์

บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ-vs-ภาพลักษณ์ของแบรนด์

บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพส่งผลอย่างมากต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์:

ดึงดูดสายตา (Visual Appeal): บรรจุภัณฑ์คุณภาพสูงโดดเด่นสะดุดตา ดึงดูดความสนใจของลูกค้าและสร้างความประทับใจแรกพบ การใช้วัสดุระดับพรีเมียม การออกแบบที่ดึงดูดใจ และความใส่ใจในรายละเอียดสามารถทำให้บรรจุภัณฑ์ดูดึงดูดสายตา สะท้อนถึงแบรนด์ในเชิงบวก

ความสอดคล้องและความเป็นมืออาชีพ (Consistency and Professionalism): บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างดีซึ่งสอดคล้องกับเอกลักษณ์ทางภาพของแบรนด์และข้อความช่วยเสริมความสอดคล้องของแบรนด์ มันบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพและความใส่ใจในรายละเอียด สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและวางตำแหน่งแบรนด์ให้น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้

เอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ไม่ซ้ำใคร (Unique Brand Identity): บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสามารถช่วยสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่แตกต่างในตลาดที่แข่งขันสูงด้วยการผสมผสานองค์ประกอบการออกแบบ สี และตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์ บรรจุภัณฑ์สามารถสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์จากคู่แข่ง และทำให้ผู้บริโภคจดจำได้ทันที ความแตกต่างนี้สามารถนำไปสู่การเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์และความเชื่อมั่นของลูกค้า

การเชื่อมต่อทางอารมณ์ (Emotional Connection): บรรจุภัณฑ์มีพลังในการกระตุ้นอารมณ์และเชื่อมต่อกับลูกค้าในระดับที่ลึกขึ้น การบอกเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดคุณค่าของแบรนด์ หรือสร้างประสบการณ์แกะกล่องที่น่าจดจำ บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้ เสียงสะท้อนทางอารมณ์นี้สามารถเสริมสร้างความภักดีต่อแบรนด์และกระตุ้นให้เกิดคำแนะนำแบบปากต่อปาก

การรับรู้ระดับพรีเมียม (Premium Perception): บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสามารถเพิ่มมูลค่าการรับรู้ของผลิตภัณฑ์ได้ เมื่อลูกค้าพบบรรจุภัณฑ์ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา ฝีมือดี และมีขนาดใหญ่ พวกเขามักจะเชื่อมโยงบรรจุภัณฑ์นั้นกับผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงกว่า การเชื่อมโยงนี้สามารถกำหนดราคาระดับพรีเมียมและวางตำแหน่งแบรนด์เป็นผู้ให้บริการระดับไฮเอนด์หรือข้อเสนอสุดพิเศษ

การสร้างความแตกต่างในสภาพแวดล้อมการค้าปลีก (Differentiation in Retail Environments): บนชั้นวางของร้านค้า บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสามารถช่วยให้ผลิตภัณฑ์โดดเด่นกว่าคู่แข่ง การออกแบบที่ดึงดูดความสนใจ รูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ หรือโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่สามารถดึงดูดสายตาลูกค้าและกระตุ้นความสนใจของพวกเขาได้ บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจของลูกค้าและเพิ่มยอดขาย

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ผู้บริโภคมองหาอะไรในบรรจุภัณฑ์?

ผู้บริโภคมองหาอะไรในบรรจุภัณฑ์?

ผู้บริโภคมีความคาดหวังและความพึงพอใจที่หลากหลายเมื่อพูดถึงเรื่องบรรจุภัณฑ์ ต่อไปนี้เป็นปัจจัยทั่วไปที่ผู้บริโภคมักพิจารณาเมื่อประเมินบรรจุภัณฑ์:

1. ดึงดูดสายตา: ผู้บริโภคสนใจบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดความสนใจและโดดเด่นบนชั้นวางสินค้า สี การออกแบบ และกราฟิกที่สะดุดตาสามารถมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค

2. การสร้างแบรนด์และข้อมูล: ผู้บริโภคมองหาบรรจุภัณฑ์ที่สื่อสารตัวตนของแบรนด์และข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การติดฉลากที่ชัดเจนและรัดกุม รวมถึงชื่อผลิตภัณฑ์ คำอธิบาย คุณสมบัติ คุณประโยชน์ ส่วนผสม และคำแนะนำในการใช้งาน สามารถช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้อย่างมีข้อมูล

3. การใช้งานและความสะดวกสบาย: ผู้บริโภคชื่นชอบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้งาน เปิด และปิดได้ง่าย บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติอำนวยความสะดวก เพิ่มประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ได้

4. การปกป้องและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์: ผู้บริโภคคาดหวังว่าบรรจุภัณฑ์จะช่วยปกป้องผลิตภัณฑ์ในระหว่างการขนส่ง การจัดเก็บ และการจัดการ มาตรการป้องกัน เช่น ซีลป้องกันการงัดแงะและวัสดุที่ทนทานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประกันความสมบูรณ์และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

5. บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบรรจุภัณฑ์ พวกเขามองหาวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ หรือผลิตจากแหล่งที่ยั่งยืน การติดฉลากที่ชัดเจนของการรับรองหรือสัญลักษณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อได้เช่นกัน

6. ขนาด และ ความสะดวกในการพกพา: บรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดส่วนที่เหมาะสมตามสัดส่วนต่อการใช้งาน หรือสะดวกพกพา มักเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคที่มีวิถีชีวิตที่วุ่นวายหรือความต้องการอาหารที่เฉพาะเจาะจง

7. การยศาสตร์และการใช้งานง่าย: ผู้บริโภคชื่นชมบรรจุภัณฑ์ที่ถือ เท บีบ หรือจับได้ง่าย การออกแบบที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ที่ลดการหก หยด และความยุ่งเหยิงสามารถปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวมได้

8. อายุการเก็บรักษาและความสด: บรรจุภัณฑ์ที่ยืดอายุการเก็บรักษาและรักษาความสดของผลิตภัณฑ์มีมูลค่าสูง คุณสมบัติต่างๆ เช่น การซีลกันอากาศเข้า การกันความชื้น และการป้องกันรังสียูวีช่วยรักษาคุณภาพของสินค้าที่เน่าเสียง่าย

9. ความคุ้มค่า: ผู้บริโภคประเมินบรรจุภัณฑ์โดยพิจารณาจากมูลค่าที่ได้รับซึ่งสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ ปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาด ปริมาณ ราคา และการส่งเสริมการขายมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายและความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์

ความชอบของผู้บริโภคอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทผลิตภัณฑ์ ตลาดเป้าหมาย และปัจจัยทางวัฒนธรรม การทำวิจัยตลาดและการทำความเข้าใจความต้องการและความปรารถนาเฉพาะของกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภค

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การเลือกฝาพลาสติกสำหรับขวด Cap Selection

ฝาเซฟตี้

การเลือกฝาพลาสติกที่เหมาะสมสำหรับขวดมีความสำคัญต่อการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ความสะดวกสบาย และเพิ่มประสบการณ์ของผู้บริโภค คู่มือฉบับย่อนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเมื่อเลือกฝาพลาสติก

1. ฝาเกลียว Screw-Cap ฝาเกลียวอเนกประสงค์และมีให้เลือกใช้มากมายช่วยปิดขวดอย่างแน่นหนาโดยใช้เกลียวภายในที่ขันเข้ากับคอขวด มีหลายขนาดและวัสดุ เช่น PP และ HDPE ซึ่งให้คุณสมบัติการปิดผนึกที่มีประสิทธิภาพ

2. ฝาฟลิบ Flip-Top สะดวกและใช้งานด้วยมือเดียว ฝาฟลิบ Flip-Top มีฝาบานพับที่เปิดและปิดด้วยการพลิกง่ายๆ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ cosmetics และของใช้ในครัวเรือนทั่วไป มีให้เลือกหลายขนาดและทำจากพลาสติก ส่วนมากผลิตจากพลาสติก PP

3. ปั๊ม Lotion Pump เหมาะสำหรับของเหลว ปั๊มจ่ายให้ปริมาณที่แม่นยำและการจ่ายที่ถูกสุขลักษณะ ปั๊มปิดแบบสกรู หรือ ปั๊มแบบ snap-on วัสดุทั่วไป ได้แก่ PP และพลาสติกที่เหมาะสมอื่นๆ

4. ฝากด Press-Cap ฝากดด้านบนมีช่องเปิดขนาดเล็กที่ปิดด้วยแผ่นพลาสติก ทำให้ควบคุมการจ่ายได้ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โลชั่น เซรั่ม และน้ำมัน และมีขนาดและวัสดุต่างๆ เช่น PP ข้อเสียคือโอกาสรั่วสูงเวลาขนส่ง

5. ฝาเซฟตี้ Safety Cap / Child-Resistance Cap ฝาปิดป้องกันเด็กออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึง มีกลไกพิเศษที่ต้องใช้ความเข้าใจในการเปิด ใช้กันทั่วไปสำหรับยา ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และของใช้ส่วนตัวบางชนิด ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและ วัสดุทั่วไป เช่น PP

6. ฝาฉีกขาด Tamper-Evident Caps ฝาปิดที่ป้องกันการงัดแงะช่วยให้มั่นใจถึงความสมบูรณ์และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์โดยระบุว่าผลิตภัณฑ์ถูกดัดแปลงหรือไม่ มีแถบฉีกขาด ซีลแบบเหนี่ยวนำ หรือฝาปิดที่แตกหักได้ วัสดุทั่วไป เช่น PP

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ข้อดีของขวด HDPE สำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง HDPE for Sustainable Cosmetic Packaging

ขวด-HDPE-สำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง โซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมีความสำคัญอย่างยิ่ง ขวดพลาสติกที่ใช้กันทั่วไปสำหรับเครื่องสำอางต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ บทความนี้เน้นย้ำถึงประโยชน์ของขวดโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) และความสามารถในการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางด้วยการใช้งานจริงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

1. ความทนทานและความแข็งแรง ขวด HDPE มีความทนทานเป็นเลิศ ปกป้องผลิตภัณฑ์ระหว่างการจัดการและการขนส่ง ความแข็งแรงป้องกันการรั่วซึมหรือความเสียหาย สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและยืดอายุการเก็บรักษาของสินค้า

2. ทนต่อสารเคมี ขวด HDPE มีความทนทานต่อสารเคมี จึงเข้ากันได้กับสูตรเครื่องสำอางต่างๆ เป็นการรักษาคุณภาพ ประสิทธิภาพ และคุณสมบัติที่ต้องการของผลิตภัณฑ์

3. ความสามารถในการรีไซเคิลและประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ขวด HDPE สามารถนำไปรีไซเคิลได้สูง ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยการลดความต้องการพลาสติกบริสุทธิ์ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

4. น้ำหนักเบาและคุ้มค่า ขวด HDPE มีน้ำหนักเบา ช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการใช้พลังงาน ทำให้ผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกประหยัดต้นทุน

5. ตัวเลือกการออกแบบที่หลากหลาย ขวด HDPE นำเสนอโอกาสในการปรับแต่ง ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใครซึ่งสะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาและดึงดูดผู้บริโภค

6. ความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขวด HDPE ปลอดสารพิษ จึงรับประกันความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคด้วยการป้องกันการชะล้างของสารเคมีอันตราย

7. ความสะดวกสบายของผู้บริโภค ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น ฝา flip-top และปั๊ม lotion pump ขวด HDPE ช่วยให้การใช้น้ำยาผลิตภัณฑ์สะดวกและถูกสุขลักษณะ ง่ายต่อการบีบและเป็นมิตรกับการเดินทาง

ขวด HDPE ให้ความทนทาน รีไซเคิลได้ และออกแบบได้หลากหลายสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางที่ยั่งยืน ช่วยเพิ่มความสะดวก ความปลอดภัย และความดึงดูดใจให้กับผู้บริโภค การเลือกขวด HDPE แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ควรใช้ขนาดขวดเท่าไหร่สำหรับบรรจุแคปซูล?

ขนาดขวดบรรจุแคปซูล

ขนาดขวดสำหรับบรรจุแคปซูล

Capsule Size
ขนาดแคปซูล
Capsule (pcs)
จำนวนแคปซูล
Bottle Size (cc) 
ขนาดขวด
Capsule Size
ขนาดแคปซูล
Capsule (pcs)
จำนวนแคปซูล
Bottle Size (cc) 
ขนาดขวด
130600030100
140800040140
1601000060180
1901200090280
112015000120400
118023000180500
Capsule Size
ขนาดแคปซูล
Capsule (pcs)
จำนวนแคปซูล
Bottle Size (cc) 
ขนาดขวด
 Capsule Size
ขนาดแคปซูล
Capsule (pcs)
จำนวนแคปซูล
Bottle Size (cc) 
ขนาดขวด
03010000030120
04014000040160
06016000060200
09018000090300
0120200000120400
0180300000180500

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขนาดขวดสำหรับบรรจุแคปซูล

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

แนวโน้มตลาดเครื่องสำอางไทยปี 2014

แนวโน้มตลาดเครื่องสำอางไทยปี 2014 เครื่องสำอางไทยส่งออกพุ่ง

นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทยระบุถึงแนวโน้มในอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ยังคงสดใสและมีโอกาสในการลงทุนเมื่อสถานการณ์ด้านต่างๆ เงียบสงบ โอกาสในการส่งออกเครื่องสำอางยังคงเป็นที่น่าสนใจ นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการเพิ่มสมรรถนะในการส่งออกเครื่องสำอางไทยออกนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดนานาชาติอาจพบกับภาวะที่ยังไม่ค่อยเสถียร ซึ่งส่วนนี้ส่วนมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน

สำหรับผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ในการส่งออกมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง การส่งออกเครื่องสำอางยังคงเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีปัญหาความล่าช้า การส่งเครื่องสำอางไทยไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนร้อยละ 37 ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 30 การส่งออกไปยังยุโรปและออสเตรเลียเป็น 5 และอื่นๆ อีก 26 ประเทศ การส่งเครื่องสำอางไปจีนกำลังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสำหรับเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบจากสมุนไพร ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจีนอย่างมาก

อุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น โดยมีส่วนร่วมในภาวะเศรษฐกิจของประเทศถึง 2.2 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศไทย

หลังจากการเปิดตัวประชาคมอาเซียนในปี 2558 ธุรกิจเครื่องสำอางจะได้รับการแข่งขันอย่างเข้มข้น เนื่องจากการค้าขายที่เสรีและไม่มีพรมแดน ซึ่งประเทศไทยจะต้องแข่งขันกับประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และยังมีความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติอีกหลายประเทศที่เลือกที่จะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสิ่งที่ประเทศไทยสามารถนำเสนอในการผลิตเครื่องสำอาง

แม้จะมีแบรนด์เครื่องสำอางไทยปรากฎขึ้นมาประมาณ 1,000 แบรนด์ แต่การสร้างแบรนด์ยังมีความเหลือเชื่อมากกว่านี้ แน่นอนการสนับสนุนจากหน่วยงานของภาครัฐได้เป็นประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นองค์การอาหารและยาหรือหน่วยงานด้านพัฒนาอุตสาหกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้การส่งออกเครื่องสำอางเป็นไปอย่างราบรื่นก็เป็นสิ่งที่ได้รับการสนับสนุนอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการสร้างเอกสารและข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการเมื่อต้องการส่งออกผลิตภัณฑ์ของพวกเขาไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย

 

Credit: Thaipost and Posttoday

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (1) →

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014

แนวโน้มการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 2014 – The Packaging Design Trend 2014

No matter how much people rely on social media and emails to communicate, the one thing that they’ll never stop needing is packaging. Packaging is just as important as the product itself, and it goes a long way toward convincing customers that they want what’s inside.

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (1)

Most people don’t think about the packaging on the products they purchase or the boxes that those products are mailed in. But it has a tremendous impact, and just like any industry, the packaging industry is subject to trends  and developments. Here are some of the exciting new developments to watch for in 2014.

1. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

The green movement is continuing to gather strength, and environmentally friendly packages are a great way to make inroads with concerned customers. As a result, many businesses are looking toward investing in packages that are environmentally friendly either because they are biodegradable or made from recycled products. It makes for a great selling point and reduces consumer guilt about buying products in packages.

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (1)

2. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: หลายการใช้งาน

Sometimes people buy products just as much for the bonuses as they do for the actual product. Packages that serve multiple uses are going to be even more popular in 2014. Even if the packaging itself isn’t environmentally friendly, a product that has a package with multiple uses will still be seen as superior to one that only contains the product. The packaging design needs to make the multiple uses clear, though, or else this trend won’t succeed.

3. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: การใช้ Mascot

When it comes to cartoon characters, creative packaging can turn a boring product package into an exciting must-have option. McDonald’s realized this long ago with their Happy Meals designed to look like little houses, complete with cutout doors for the Cabbage Patch dolls. But for quite some time, those creative packaging options relied primarily on simple box shaped designs.

With breakthroughs in the printing industry including 3D printing, such limitations won’t be as big of an issue in 2014. This means that businesses that want to explore more creative options for mascot incorporation will be able to do it.

4. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: ผิวด้าน

From Glamour magazine to the pamphlet “Projected Business Trends in Indiana for 2014,” the matte finish looks to be one of the more common design elements in packaging. It isn’t as sleek or as stylish as a polished finish, but it isn’t tacky either. Visually, it stands out. Bright colors can be used, but they aren’t as overpowering because the matte subdues them.

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (3)

5. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: การออกแบบเรียบง่าย

The minimalist design movement has made some of the biggest waves in the web design community, particularly on mobile websites and iOS platforms. Simple black-and-white photography and flatted UIs have created a whole new palette. For businesses with products to sell from their websites, matching the packaging design with the web design can be a great step. An added benefit is that the minimalist design tends to be less expensive to print, which also makes it popular.

Packaging isn’t going to go away any time soon, but it is going to keep developing. 2014 looks to be an exciting time with new trends. Packages that are environmentally friendly while also having multiple uses will likely develop. The functional form that benefits the seller as much as the consumer will also probably make its showing and increase in popularity, particularly as it resolves common problems for shop owners. Of course, packaging trends for 2014 will also extend to safety measures along with product variation changes to indicate expiration or tampering. And design changes will likely move toward the matte finish as well as the minimalist design. Look for packaging to be more exciting than ever.

 

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (4)

6. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: เขียนลวดลายแบบอักษรมือเปล่า (Freehand Fonts)

This trend characterizes itself for its handwritten and carefully “untidy” fonts, which address to the consumer in a friendly and authentic tone. Casual, informal and cool designs that look fresh and spontaneous. Decorative fonts and touching illustrations humanize the product and makes it look handmade. A graphic resource that was used only by few products focalized on a reduced group of consumers; today is gaining adepts and acceptation between consumers.

In an attempt to move away from massive and industrial products, these packaging designs align themselves with a tendency that appreciates origin along with handcraft products, opposite to the artificial imagery associated with industrial manufacture process. Today, human is not only about warmth, it is also a sign of authenticity.
แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (8)

7. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: แสดงความเด่นของผลิตภัณฑ์ด้วยผลิตภัณฑ์

This trend sets an integration between product and graphic elements in order to seek a playful approach to the product. Flat graphic elements combine with 3D pictures to achieve an abstraction from reality that is both attractive and differentiating.

As a result, the product gains significance to strengthen its values, inviting the consumer to a different experience. Reality and fiction combine themselves resulting in a magical graphic solution. These are just some of the many aesthetic trends we can find nowadays in packaging design worldwide. Each of them has singularities but they all converge in the seeking for differentiation and segmentation in a world of consumers demanding constant innovation.

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 9)

 

Credit: thedeependdesign.com / thedieline.com (แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014)

 

 

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์พลาสติก

บรรจุภัณฑ์พลาสติกในปัจจุบันมีความหลากหลายและมีพลาสติกชนิดต่างๆ รวมอยู่กันมากมาย แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน คุณสามารถแยกแยะพลาสติกตามความหนาแน่นของโมเลกุลและคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ตัวอย่างเช่นพลาสติก PE (Polyethylene) สามารถแบ่งแยกเป็นหลายประเภท เช่น LLDPE (Linear Low Density Polyethylene) , LDPE (Low Density Polyethylene) , MDPE (Medium Density Polyethylene) และ HDPE (High Density Polyethylene) แต่ละประเภทของพลาสติกยังสามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติโดยการทำปฏิกิริยากับพลาสติกเพื่อสร้างพลาสติกใหม่ขึ้น นอกจากนี้กระบวนการผลิตที่แตกต่างกันยังสามารถทำให้ได้พลาสติกที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันด้วย เช่น PP และ OPP เป็นต้น

(1) บรรจุภัณฑ์อาหาร โพลิเอทิลีน (Polyethylene – PE)

PE เป็นพลาสติกที่มีการใช้งานแพร่หลายและมีราคาที่คุ้มค่า ด้วยความสามารถในการละลายต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับพลาสติกอื่นๆ ทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ กระบวนการผลิต PE จะเป็นผลจากกระบวนการโพลิเมอไรส์ (Polymerization) ของก๊าซเอทิลีน (Ethylene) ในสภาวะความดันและอุณหภูมิสูง โดยไม่ต้องใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะ (Metal Catalyst) การรวมโมเลกุลเชิงสายโซ่และสายกลางของ PE จะส่งผลให้ได้ PE ที่มีความหนาแตกต่างกัน สามารถแบ่ง PE เป็น 3 ประเภทตามความหนาแน่นได้ดังนี้

  1. โพลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (Low Density Polyethylene หรือ LDPE) ความหนาแน่น 0.910 – 0.925 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
  2. โพลิเอทิลีนความหนาแน่นปานกลาง (Medium Density Polyethylene หรือ MDPE) ความหนาแน่น 0.926 – 0.940 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
  3. โพลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง (High Density Polyethylene หรือ HDPE) ความหนาแน่น 0.941 – 0.965 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร

บรรจุภัณฑ์อาหาร Low Density Polyethylene

LDPE เป็นพลาสติกที่นิยมใช้มาก และเป็นที่รู้จักในนามของถุงเย็น พวกนี้จะใช้ในการทำถุงฟิล์มหดและฟิล์มยืด และในการผลิตขวดน้ำ ฝาขวด ซึ่งมีคุณสมบัติที่ยืดหยุ่น ทนต่อการทิ่มทะลุและการฉีกขาด สามารถใช้ความร้อนเชื่อมติดผนึกได้ดี โครงสร้างของ LDPE สามารถป้องกันความชื้นได้ดีพอสมควร แต่อาจปล่อยให้ไขมันซึมผ่านได้ง่าย และทนต่อกรดและด่างทั่วไป นอกจากนี้ LDPE ยังมีคุณสมบัติดูดฝุ่นในอากาศมาเกาะติดตามผิว ทำให้ถุงหรือภาชนะที่ทำจาก LDPE ที่เก็บนานอาจมีความเปรอะด้วยฝุ่น

LLDPE สร้างขึ้นภายใต้สภาวะความดันต่ำ และเริ่มเป็นที่นิยมในตลาดตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1970 ในปัจจุบันตลาด LLDPE มีขนาดใหญ่ถึง 10,000 ล้านกิโลกรัม มักนำมาใช้เป็นชั้นป้องกันความชื้นโดยการเคลือบกับ PE ภายหลังการผลิต คุณสมบัติของ LLDPE เหนือกว่า LDPE ธรรมดา ทำให้ LLDPE เริ่มแทรกแซงตลาดของ LDPE แต่ความขุ่นกว่า LDPE จะเป็นจุดอ่อน ด้วยเหตุนี้ พบกรณีที่นำมาผสมเม็ดพลาสติกทั้งสองชนิด โดยผสม LLDPE และ LDPE ในอัตราส่วน 50/50

 

บรรจุภัณฑ์อาหาร High Density Polyethelene (HDPE)

HDPE เป็นพลาสติกที่ใช้งานบรรจุภัณฑ์อาหารน้อยกว่า โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการผลิตขวด เนื่องจากมีความหนาแน่นที่สูง ทำให้ HDPE มีความเหนียวและทนต่อการซึมผ่านได้ดีกว่า PE ที่มีความหนาแน่นต่างๆ กัน อย่างไรก็ตาม HDPE ยังไม่สามารถป้องกันการซึมผ่านของก๊าซได้ดีพอ ดังนั้นการใช้งาน HDPE ส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับการผลิตขวด นอกจากขวดแล้ว HDPE ยังสามารถใช้เป็นฟิล์มหรือถาดที่ไม่ต้องการความใสมาก

(2) บรรจุภัณฑ์อาหาร โพลิโพรพิลีน (Polypropylene-PP)

PP มักนิยมใช้ในรูปแบบของถุงร้อน คุณสมบัติเด่นของ PP คือความใสและความสามารถในการป้องกันความชื้นได้ดี ซึ่งทำให้ PP มักถูกนำมาใช้ในการผลิตถุงร้อนที่ต้องการความทนทานต่อความชื้น อย่างไรก็ตามความสามารถในการป้องกันการซึมผ่านของก๊าซของ PP ยังไม่เหมาะสมเท่าบางชนิดของพลาสติก นั่นเพราะช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมในการหลอม PP มีความยาวเวลาที่สั้น ทำให้เชื่อมติด PP ได้ยาก นอกจากนี้ ฟิล์มประเภท OPP ที่มีโครงสร้างโมเลกุลเรียงตามทิศทางเดียวกันจะไม่สามารถเชื่อมติด PP ได้เลย คุณสมบัติอื่นๆ ของ PP คือความมีจุดหลอมเหลวสูงทำให้เหมาะสมในการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารสำหรับใช้รับอาหารร้อน (Hot-Fill)

การใช้งานของ PP กับบรรจุภัณฑ์อาหารมีดังนี้

  • ใช้บรรจุอาหารร้อน เช่น ถุงร้อน (รูปแบบใส)
  • ใช้บรรจุอาหารที่ต้องผ่านความร้อนเพื่อฆ่าเชื้อ โดยใช้ PP เป็นวัสดุที่ใช้ผลิตถุงร้อน ซึ่งเป็นทางเลือกแทนกระป๋องโลหะ บางครั้งเรียกว่า “ถุงร้อนทนความร้อน” (Retort Pouch) หรือ “กระป๋องยืดได้” (Flexible Can)
  • ใช้ทำถุงบรรจุผักและผลไม้สด
  • ใช้ทำซองบรรจุอาหารแห้ง เช่น บะหมี่สำเร็จรูป (Instant Noodle) และอาหารที่มีไขมันและอายุการเก็บรักษาไม่สูง เช่น คุกกี้ (Cookie) และถั่วทอด
  • ใช้ทำกล่องอาหาร ลัง ถาด และตะกร้า
  • ในการขนส่งสินค้ายังมีการใช้ PP อย่างแพร่หลาย เช่น ถุงพลาสติกสาน (Woven Sacks) ที่มีขนาดบรรจุมาตรฐาน 50 กิโลกรัม ซึ่งมีความทนทานต่อการใช้งาน และก้าวสู่การผลิตถุงใหญ่ขนาด FIBC (Flexible Intermediate Bulk Containers) เพื่อใช้บรรจุสินค้า

(3) บรรจุภัณฑ์อาหาร โพลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต (Polyethylene Terepthalate-PET)

PET เป็นพลาสติกที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการบรรจุน้ำอัดลม โดยเฉพาะน้ำอัดลม และน้ำดื่ม นอกจากขวดแล้ว ฟิล์ม PET ยังถูกนำมาใช้ในการผลิตภาชนะสำหรับอาหาร โดยมีคุณสมบัติที่มุ่งเน้นความใสแวววับเป็นประกาย ทำให้ได้รับความนิยมในการบรรจุน้ำมันพืชและน้ำดื่ม นอกจากขวดแล้ว ฟิล์ม PET ในรูปของซองยืดได้ (Stand-Up Pouch) ยังมีการนำมาใช้ในการบรรจุอาหารแห้ง เช่น ผลไม้แช่แข็ง ขนมโกโก้ (Chocolate) ซึ่งต้องการความแข็งแรงในการบรรจุในรูปแบบซอง

สรุปได้ว่า บรรจุภัณฑ์อาหารที่ผลิตจากพลาสติกมีความหลากหลายในประเภทและการใช้งาน แต่ละชนิดของพลาสติกมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ ของบรรจุภัณฑ์และอาหารที่ต้องการบรรจุเอาไว้

Credit: foodnetworksolution.com

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์พลาสติก

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

1. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (1)

2. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (3)

3. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (4)

4. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (2)

5. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (6)

6. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (9)

7. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (10)

 

 

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Packaging Ideas and Designs ไอเดียและการออกแบบบรรจุภัณฑ์

1. Packaging design: Spine Vodka

Packaging Design (1)

Packaging Design: This vodka brand gets down to the bare bones of packaging

German designer Johannes Schulz created this inspirational packaging for Spine Vodka. “It was a private project I started after my graduation of an international communication design school in Hamburg, Germany,” he explains. “Spine is a high quality product just like the design, reduced and simple with a consciously ‘twist’ in his message and a memorable name fitting to the project.”

Integrated the spine with the rib cage to communicate a product with a ‘backbone’, the unique 3D design approach sets it aside from its 2D counterparts. “The transparent glass material stands for a product that don’t has to hide something,” Schulz concludes.

2. Packaging design: Helvetica Beer

Packaging-Design-(2)

Packaging Design: A school project turns a typeface into a beer

Students are renowned for like a beer or two. So we weren’t surprised to learn that this cool new packaging design was a school project, designed by Sasha Kischenko at the British Higher School of Art and Design.

Tasked with creating a package design using type only, Kischenko opted to develop a concept for beer from Switzerland’s historical Helvetic republic – so the typeface was an obvious choice.

The sophisticated design centres around a large digit informing you of the alcohol percentage, with a small Swiss Cross logo in the top right. Can colours, silver and black, correspond to lager or stout respectively. A simple but beautiful concept, we could see this product in the hands of many a student if it were ever to become a reality!

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Top food packaging design tips that’ll make your brand jump off the shelf

1. Packaging Design Tips: Clarity and simplicity

Next time you go to a supermarket, pick a random shelf and browse through some products. Glance at each and ask yourself two very simple questions:

  1. What’s this product for?
  2. What’s the brand behind it?

Packaging Design Tip (1)

A great example of simple, clear yet highly distinctive packaging design.

You’ll be amazed how hard it is to find answers to some of these essential questions in less than four seconds, the maximum time an average consumer will dedicate to any particular product. Now imagine your brand sitting alongside your competitors’ logos. To cut though the clutter, a busy logo isn’t going to do your business any favors. Think about what makes you different — your special sauce — and lead with that. Remember, some of the world’s most successful logos are also the simplest. Here are some packaging design tips for food and consumer products.

2. Packaging Design Tips: Honesty

Have you ever bought a package of cookies and been disappointed that the mouth-watering goodie shown on the package turned out to be a tiny, dry wafer? By depicting a product ten times better than it actually is, you’re misleading and ultimately disappointing the consumer. Poor sales performance and bad brand image often follow.

Packaging Design Tip (2)

This product might taste good, but the packaging is clearly misleading. More packaging v.s. real food comparisons on this site.

This is where honesty comes in. Consumers have nothing against simple, inexpensive products, as long as they know what they’re buying. As a business, you want to sell your service or product by representing the product in the best light possible, but keep in mind that stretching the truth can backfire. Be straightforward with your customers to keep them coming back.

3. Packaging Design Tips: Authenticity

Originality and memorability are at the heart of great brands. Looking at packaging designs, it’s easy to understand why. With hundreds of products out there, all competing for consumers’ attention, the only way to set your brand apart is to be different and authentic.

Packaging Design Tip (3)

This packaging design from Colin Porter Bell is a great example of authentic and memorable packaging design.

If you’re stuck with a generic-looking design, whether it be your logo or a banner ad, it may be time to think outside the box. Inspire your graphic designer by collecting images that remind you of your special sauce – colors, photos or designs from other industries. Hey, you might even want to look at product packaging examples while brainstorming your next book cover.

4. Packaging Design Tips: Shelf impact

From a shopper’s point of view, a product is never seen alone and never in great detail. In the rows and columns we see veritable patterns of products, and it’s not until a certain pattern attracts our attention that we decide to take a closer look. This distinctiveness and appeal of the product when placed on an actual shelf is something retailers call “shelf impact,” and it makes a huge difference in product sales.

Packaging Design Tip (4)

This is what you actually see in a supermarket. Which product caught your attention first?

You should incorporate the concept of shelf impact into your brand messaging. Take a look at your website home page, for example, where you’ll only have a few seconds to convince visitors to stay. Is your design eye-catching? Does the headline entice people to read more? With so many other options available, people need to ‘get’ your message almost immediately.

5. Packaging Design Tips: Extensibility

A product packaging design concept should allow for an easy introduction of a new line extension or a sub-brand. For example, a new brand of apple juice may eventually introduce a cherry flavor under the same brand name, so creating a flexible design is critical from the start.

Packaging Design Tip (5)

Good packaging design allows for easy variations without losing visual appeal.

Always design your materials with the future in mind. When creating a new logo, for instance, tell your designer right off the bat if you plan to add sub-brands. On the web, create a navigation system that allows you to easily add content. And be sure to share any existing brand materials with your designer so that each new piece will contribute to a cohesive look and feel.

6. Packaging Design Tips: Practicality

Practicality deals with the actual functionality of a product, not just the label or wrap. The more practical the product, the more sales it gets – when Heinz turned the ketchup bottle upside down, sales skyrocketed.

Packaging Design Tip (6)

Turning things on their head helped Heinz sell more ketchup when ketchup industry was in growth crisis.

For you, practicality is found in user experience. When planning your website, think about how you’re solving a visitor’s problem and you’ll prevent many usability issues from arising. Easy ways to make your website more practical include eliminating clutter, simplifying navigation, providing a clear call to action and placing your contact information front and center.

Credit: 99designs.com

Designated trademarks and brands belong to their respective owners.

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ประเภทของบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

ประเภทของบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องสำอาง

คุณรู้จักประเภทบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางกี่ชนิดบ้าง? ลองพิจารณาตัวอย่างในรูปภาพด้านล่าง รูปแบบที่คุ้นเคยและเป็นที่นิยมมากที่สุดคือกระปุก ขวด หลอดโฟม และขวดปั๊ม นอกจากนี้ยังมีขวดปั๊มสูญญากาศและหลอดอะลูมิเนียมเพิ่มเติม

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติทำความสะอาด เลือกบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ง่ายมีความสำคัญ แต่สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เน้นการบำรุง โดยเฉพาะการใส่สารต้านอนุมูลอิสระหรือสารบำรุง (ที่มักมีความไวต่อแสงและออกซิเจน) ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ลดการสัมผัสกับแสงและอากาศ และป้องกันการปนเปื้อนจากการใช้งานในระยะยาว เมื่อพิจารณาทั้งหมดนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า

  1. กระปุกบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง กระปุกเครื่องสำอางเป็นที่นิยมและคุ้นเคยมากที่สุด เป็นรูปแบบที่สามารถใช้บรรจุผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่าง ๆ ได้ เช่น รองพื้น ลิปสติก แป้ง และอื่น ๆ กระปุกมักมีขนาดเล็กกระทัดรัด ทำให้ใช้งานง่ายและสะดวกต่อการพกพา
  2. ขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ขวดเครื่องสำอางมาในหลากหลายขนาดและรูปร่าง เป็นที่นิยมในการบรรจุผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณมากกว่า เช่น ครีมบำรุงผิว โลชั่น และเมคอัพเบื้องต้น คุณสามารถเลือกขวดที่มีปั๊มหรือสามารถเทใช้ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของผลิตภัณฑ์และการใช้งาน
  3. หลอดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง หลอดเครื่องสำอางเหมือนกับขวดแต่มีรูปร่างยาวและแบน สามารถบรรจุผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีความเข้มข้นหรือมีการเลือกใช้ตามจำนวนที่เหมาะสม

การเลือกใช้ประเภทของบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของผลิตภัณฑ์และความต้องการของผู้บริโภค เช่น กระปุกเครื่องสำอางเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้บ่อย ๆ และต้องการสะดวกในการใช้งาน ขวดและหลอดเครื่องสำอางเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณมากหรือมีความเข้มข้น โดยเฉพาะในการบำรุงผิวหรือใส่เมคอัพ คุณสามารถเลือกใช้ตามความต้องการของคุณเองได้!

สรุปประเภทของบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางมีความหลากหลายและเหมาะกับการใช้งานต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง คุณสามารถเลือกใช้ประเภทที่เหมาะสมกับความต้องการและสไตล์ของคุณได้เลย!

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: sirgap

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การเลือกชนิดพลาสติก

ยินดีต้อนรับสู่ เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน ผู้ผลิตขวดพลาสติก และ บรรจุภัณฑ์ ผู้ผลิตขวดพลาสติก และ บรรจุภัณฑ์ ฉีด และ เป่าพลาสติก เชี่ยวชาญในการผลิตขึ้นรูปพลาสติก เชี่ยวชาญในการผลิตขึ้นรูปพลาสติก รวมถึง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง รวมถึง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ขวดพลาสติก กระปุกครีม หัวปั๊ม หัวสเปรย์ ขวดพลาสติก กระปุกครีม หัวปั๊ม หัวสเปรย์ ช้อน ถ้วยตวง ฝาแบบต่างๆ ชิ้นส่วนอะไหล่พลาสติก ฯลฯ รับผลิตงานตามแบบ ผลิตแม่พิมพ์พลาสติก รับผลิตงานตามแบบ ผลิตแม่พิมพ์พลาสติก จากประสบการณ์กว่า 30 ปี จากประสบการณ์กว่า 30 ปี

การเลือกชนิดพลาสติกประเภทขวดพลาสติก

พลาสติกเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติหลายประเภทและความหลากหลายในการนำมาใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของบรรจุภัณฑ์หรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ การใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผลต่อการเก็บรักษาและการนำสินค้าต่าง ๆ ไปสู่ผู้บริโภค ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงการเลือกชนิดพลาสติกประเภทขวดพลาสติกที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

  1. HDPE (High-Density Polyethylene): HDPE เป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรงและทนทานต่อการทำลาย มักใช้ในการผลิตขวดสำหรับน้ำมันสำหรับอาหาร น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาด และของเหลวอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นเหลวหนืด มีความเรียบพื้นที่สำหรับการประกอบเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษาของเหลวในระยะยาว
  2. PP (Polypropylene): PP เป็นพลาสติกที่มีความทนทานต่อความร้อนและสารเคมี มักใช้ในการผลิตขวดที่ใช้สำหรับเครื่องใช้ในบ้านเรือน เช่น ขวดสำหรับน้ำยาทำความสะอาด น้ำยาล้างจาน หรือเครื่องสำอางต่าง ๆ
  3. LDPE (Low-Density Polyethylene): LDPE เป็นพลาสติกที่มีความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น เหมาะสำหรับการผลิตขวดที่มีรูปทรงแปรปรวนหรือทรงกลม มักใช้ในขวดสำหรับเครื่องสำอาง สินค้าเด็ก น้ำยาล้างมือ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีการยืดหยุ่นในการใช้งาน

การเลือกชนิดของพลาสติกประเภทขวดพลาสติกจึงขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้า การใช้งาน และความต้องการของผู้บริโภค เช่น ถ้าคุณต้องการบรรจุผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีความเป็นเหลวและต้องการความโปร่งใส คุณอาจเลือกใช้ PET หรือ HDPE ส่วนถ้าคุณต้องการบรรจุสินค้าเหลวที่มีความแข็งแรง ความทนทาน และมีความหนาแน่น คุณอาจเลือกใช้ HDPE หรือ PP นั่นเอง ดังนั้น การเลือกใช้ชนิดพลาสติกที่เหมาะสมจะช่วยให้สินค้าของคุณมีคุณภาพและความคงทนในตลอดเวลา

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกชนิดพลาสติก

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ยางเทอร์โมพลาสติก Thermoplastic Elastomer

ยางเทอร์โมพลาสติก

Thermoplastic elastomers (TPE), sometimes referred to as thermoplastic rubbers, are a class of copolymers or a physical mix of polymers (usually a plastic and a rubber) which consist of materials with both ยางเทอร์มอพลาสติก thermoplastic and elastomeric properties. While most elastomers are thermosets, thermoplastics are in contrast relatively easy to use in manufacturing, for example, by injection molding. Thermoplastic elastomers show advantages typical of both rubbery materials and plastic materials. The principal difference between thermoset elastomers and thermoplastic elastomers is the type of crosslinking bond in their structures. In fact, crosslinking is a critical structural factor which contributes to impart high elastic properties.

For more information on our TPE plastic injection and blowing services, call us at T: +662 289 1996

ยางเทอร์โมพลาสติก คือ ยางที่นำไปขึ้นรูปได้เหมือน เทอร์โมพลาสติก จึงนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างต่างๆ ได้สะดวกและรวดเร็ว ทำเป็นสีสันต่างๆได้ รวมทั้งนำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ ปัจจุบันมีความสนใจนำยางเทอร์โมพลาสติกมาใช้มากขึ้นในการผลิตชิ้นส่วนยางต่างๆ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์กีฬา เครื่องใช้สอยในชีวิตประจำวัน แต่ยางเทอร์โมพลาสติกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันผลิตมาจากโพลิเมอร์สังเคราะห์

ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ยางธรรมชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศไทย การพัฒนายางเทอร์โมพลาสติกจากยางธรรมชาติเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มจากยางธรรมชาติได้ 2-3 เท่า อีกทั้งยังเป็นการขยายขอบเขตการใช้งานของยางธรรมชาติ ช่วยให้เกิดการนำยางธรรมชาติไปใช้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการพัฒนาวัสดุจากธรรมชาติตรงตามแนวโน้มความต้องการด้านวัสดุของโลกที่พยายามลดการใช้วัสดุที่ผลิตจากปิโตรเลียม

ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก ใช้วัตถุดิบจากยางธรรมชาติและเม็ดพลาสติกที่ผลิตได้ในประเทศไทย เม็ดยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติกสามารถนำมาขึ้นรูปได้ด้วยเครื่องมือขึ้นรูปพลาสติก เช่น เครื่องฉีดพลาสติก เครื่องอัดรีด เครื่องอัดเบ้า เป็นต้น

Credit: nstda.or.th

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยางเทอร์โมพลาสติก Thermoplastic Elastomer

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

พลาสติกชีวภาพคืออะไร – What is Bioplastic?

พลาสติกชีวภาพเป็นพลาสติกที่ได้มาจากแหล่งของไบโอมาสมองที่หมายถึงสารพลาสติกที่ได้มาจากวัตถุชีวภาพที่มีการเจริญเติบโตแบบต่าง ๆ เช่น ไขมันพืชและน้ำมัน แป้งข้าวโพด แป้งถั่วหรือจุลินทรีย์ในรูปแบบพลังงานชีวภาพ พลาสติกทั่วไปที่มาจากน้ำมันหินปูน หรือพลาสติกที่มาจากแหล่งเชื้อเพลิงจำพวกน้ำมันหินปูน เพลิกโซนฉะนึ่งมากขึ้นและผลิตมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นเช่นกัน บางพลาสติกชนิดที่เป็นพลาสติกชีวภาพถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถสลายตัวได้ พลาสติกชีวภาพที่สามารถสลายตัวได้เรียกว่าประเภทไบโอดีกราเดเบิล และสามารถย่อยสลายได้ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนหรือมีออกซิเจน ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต วัสดุที่อาจประกอบด้วยไบโอพอลิเมอร์อย่างได้แก่ แป้ง ซีลลูโลส หรือไบโอโพลิเมอร์อื่น ๆ การใช้งานที่พบบ่อยของพลาสติกชีวภาพคือ วัสดุบรรจุภัณฑ์ เครื่องปรุงอาหาร บรรจุภัณฑ์อาหาร และวัสดุกันความร้อน

ช้อนตักขนม ไบโอพลาสติก

พลาสติกชีวภาพ

พลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ใช้สำหรับสิ่งที่ใช้ครั้งเดียว เช่น วัสดุบรรจุภัณฑ์และอุปกรณ์ในงานบริการ (จาน ชาม ช้อน แก้ว ถ้วย หรือหลอด) นอกจากนี้พลาสติกชีวภาพยังมักถูกใช้ในถุง ถาด ภาชนะสำหรับผลไม้ ผัก ไข่ และเนื้อ ขวดสำหรับเครื่องดื่มอ่อน และผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงแผ่นพลาสติกลอบทำบุ๋งสำหรับผลไม้และผัก

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

การลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

แนวทางที่เรายึดถือคือการลดต้นทุนในการบรรจุภัณฑ์ การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล ซึ่งเป็นหัวใจของกลยุทธ์ธุรกิจของเรา การลดขนาดและน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์จะช่วยลดต้นทุนในด้านวัสดุ พลังงานและค่าขนส่ง การออกแบบโครงสร้างและวัสดุให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องบรรจุจะทำให้การบรรจุภัณฑ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ยินดีต้อนรับสู่ เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน ผู้ผลิตขวดพลาสติก และ บรรจุภัณฑ์ ผู้ผลิตขวดพลาสติก และ บรรจุภัณฑ์ ฉีด และ เป่าพลาสติก เชี่ยวชาญในการผลิตขึ้นรูปพลาสติก เชี่ยวชาญในการผลิตขึ้นรูปพลาสติก รวมถึง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง รวมถึง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ขวดพลาสติก กระปุกครีม หัวปั๊ม หัวสเปรย์ ขวดพลาสติก กระปุกครีม หัวปั๊ม หัวสเปรย์ ช้อน ถ้วยตวง ฝาแบบต่างๆ ชิ้นส่วนอะไหล่พลาสติก ฯลฯ รับผลิตงานตามแบบ ผลิตแม่พิมพ์พลาสติก รับผลิตงานตามแบบ ผลิตแม่พิมพ์พลาสติก จากประสบการณ์กว่า 30 ปี จากประสบการณ์กว่า 30 ปี

แนวทางลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

แนวทางของเราคือการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล ซึ่งมีเป้าหมายธุรกิจอย่างชัดเจน การลดบรรจุภัณฑ์ทำให้เราได้รับประโยชน์ด้านต้นทุนในวัสดุ พลังงานและการขนส่ง

วิธีการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

  1. ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา
  2. พัฒนาการออกแบบโครงสร้างและวัสดุอย่างเหมาะสม
  3. พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เข้มข้นมากขึ้น
  4. กำจัดบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น
  5. ซื้อในจำนวนมากและนำไปใช้ในหลายสายผลิตภัณฑ์

เราให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ของคุณ https://www.kvjunion.com/contact-us

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

แนวโน้มส่งออกเครื่องสำอางผสมสมุนไพรไทย 2013

แนวโน้มส่งออกเครื่องสำอางผสมสมุนไพรไทยไปตลาดยูเออีสดใส

นนทบุรี 7 ก.ค.- กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเผยแนวโน้ม-ภาวะตลาดสินค้าเครื่องสำอางในดูไบ เผยผลิตภัณฑ์สปา สมุนไพรมาแรง ชี้ต้องปรับแพ็คเกจให้เป็นที่ดึงดูดใจผู้ซื้อ เครื่องสำอางผู้ชายโตร้อยละ 70

สมุนไพรไทย

นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) เปิดเผยรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคร.) ณ เมืองดูไบ ถึงแนวโน้มและภาวะตลาดสินค้าเครื่องสำอาง ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ว่า ยูเออีมีการนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางและสุขภาพจากทั่วโลกมีมูลค่ า 1,870 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 56,100 ล้านบาท โดยผ่านรัฐดูไบ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าของยูเออี มีการนำเข้าจากเยอรมนี ฝรั่งเศส อินเดีย อังกฤษ และ ไอร์แลนด์ ตามลำดับ ส่วนการนำเข้าจากไทยในปี 2555 นำเข้าเครื่องสำอางฯ จากไทยมีสัดส่ วนคิดเป็นร้อยละ 2 หรือคิดเป็นมูลค่า 37.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,122 ล้านบาท

ทั้งนี้ ตลาดมีแนวโน้มการนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับสปา แต่สินค้าจากไทยจะต้องมีการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้สวยงามตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น เพราะจะต้องแข่งขันกับสินค้าจากประเทศยุโรป หรือจากเอเชียอื่น ๆ รวมถึงจะต้องปรับปรุงรูปแบบ กลิ่น สี ให้เหมาะสมกับความนิยมของตลาดอยู่ ตลอดเวลา เน้นรูปแบบบรรจุภัณฑ์สวยงาม ตั้งราคาให้เหมาะสมแข่งขันกับสินค้าระดับเดียวกันได้ เพื่อให้ผู้นำเข้าสามารถนำไปใช้จำหน่ายและใช้เป็นสินค้าส่งออกต่อไปที่อื่นได้อีก

แนวโน้มเจาะตลาดยูเออีได้มากขึ้น คือ เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสมุนไพร เนื่องจากมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากสินค้าของประเทศอื่น ๆ นอกจากเครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้าแล้ว เครื่องสำอางสปาและสมุนไพร หรือ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้น ได้รับความนิยมในประเทศนี้เช่นกัน” นางศรีรัตน์ กล่าว

นายณัฐพงศ์ บุญจริง ผอ.สคร. ดูไบ กล่าวว่า เครื่องสำอางบำรุงผิวผู้ชายคาดว่าจะมีมูลค่าตลาด 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 ซึ่งในช่วงปี 2554-2555 มีการวิจัยพบว่าสินค้ากลุ่มนี้มีความต้องการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 จากมูลค่าการนำเข้าเครื่องสำอางชายดังกล่าว สินค้ากว่าร้อยละ 30 เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ชาย สินค้าที่นิยมและมีการขยายตัวเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ได้แก่ ครีมบำรุงผิวหลังโกนหนวด ครีมบำรุงหน้า สำหรับผิวมันและผิวผสม และครีมบำรุงผิวลดริ้วรอย ปรับให้ผิวดูกระจ่างใส ประกอบสารต่อต้านอนุมูลอิสระไปจนถึงผลิตภัณฑ์ปกป้องแสงแดด

“ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป ผู้ชายตะหนักเรื่องการดูแลผิวพรรณมากขึ้น เพราะหากปล่อยปละละเลยในการดูแลสุขภาพและผิวพรรณนั้น จะทำให้ริ้วรอยแห่งวัยจะปรากฏได้ง่ายและเร็ว พฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางของผู้ชายมักจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากเคาน์เตอร์ในซูเปอร์มาร์เก็ต มากกว่าจะเข้าร้านที่จำหน่ายเฉพาะ” นายณัฐพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอางของยูเออี มีการขยายตัวขึ้นตามจำนวนโรงงานผลิตเครื่องสำอางมีมากขึ้น ประกอบกับผู้ซื้อในยูเออีมีกำลังการใช้จ่ายสูง สินค้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อ และยังมีเครื่องสำอางรุกเข้าไปจำหน่ายปลีกผ่านช่องทางตลาดอิเล็กทรอนิกส์หรือ อินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้สนใจสั่งซื้อสินค้าได้สะดวกเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นแนวโน้มเครื่องสำอางผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในตลาดยูเออี จึงมีโอกาสการขยายตัวอีกมาก แต่ธุรกิจเครื่องสำอางในดูไบ ถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงของแบรนด์ ทั้งจากยุโรป อเมริกา อังกฤษ อิตาลี โดยเฉพาะแบรนด์เกาหลีที่เข้าไปสร้างสีสันชิงความสนใจของลูกค้า

สำหรับการค้าในดูไบมีกฎระเบียบนำเข้าที่เคร่งครัด เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องสัมผัสกับร่างกาย ผิวหนังโดยตรง ต้องปฏิบัติตามหลักสากล และเป็นระเบียบเดียวกับประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศกลุ่มอ่าวอาหรับหรือ จีซีซี (GCC : Gulf cooperation Council) ได้แก่ บาห์เรน คูเวต รัฐสุลต่านโอมาน รัฐกาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เช่ น วัตถุดิบที่ใช้ต้องปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ ซึ่งรวมทั้งสารประกอบที่ใช้เป็นส่ วนผสมของการผลิต ตลอดจนสารเคมีหรือสารสกัดจากธรรมชาติ จึงต้องมีข้อกำหนด อาทิ สลากสินค้า ผู้ได้รับอนุญาตนำเข้า รายละเอียดชื่อ ส่วนผสมต่าง ๆ วิธีการใช้งาน เป็นภาษาอารบิก วันหมดอายุ ห้ามใช้ภาพประกอบที่ล่อแหลม ไม่เหมาะสมขัดต่อวัฒนธรรมเป็นต้น.

Credit: mcot.net

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Cap and Neck Closure (สเปกรูปแบบขนาดฝาเกลียวขวด)

สเปกแบบขนาดฝาเกลียวขวด

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขนาดฝาเกลียวขวด

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

So…just what are plastics?

What is Plastic?

Plastics. From popular culture (“There’s a great future in plastics” from The Graduate), to seat belts, to drive through restaurant windows, plastics have been an intrinsic part of our lives for decades. But ask people on the street—“What are plastics?”—and you’ll get an wide range of vague and often contradictory answers.
A modern innovation, plastics have been making products work better for little more than a century. World War II created soaring demand for plastics to replace scarce traditional materials, and the consumer boom of the 50s and 60s cemented plastics’ role in the economy and our everyday lives.
So how are they made, and what are they made from? Let’s find out what these modern materials are all about…

Basis of Plastics

The basics are straightforward. Think back to high school science lessons about atoms and molecules (groups of atoms). Plastics are chains of certain molecules linked together. These chains are known as polymers, which is why many plastics begin with “poly,” such as polyethylene, polystyrene and polypropylene. For example, the plastic polyethylene is simply molecules of ethylene strung together, like beads on a necklace. Polymers can be very simple, made of only molecules of carbon and hydrogen, and sometimes they also have molecules such as oxygen, nitrogen, sulfur, chlorine, fluorine, phosphorous, or silicon. The term “plastics” encompasses all these various polymers.

Sources of plastics (feedstocks)

The raw materials for plastics (often called feedstocks) come from many places, including plants. Some plastics even use salt as a raw material. But most of today’s plastics are made from the hydrocarbons that are readily available in natural gas, oil, and coal. A growing amount of plastics are made from plant feedstocks, such as sugar cane or corn (see bioplastics below). The choice of feedstocks is driven by numerous factors, including efficiency, quality, availability, and environmental factors. In the United States, approximately 70 percent of plastics are made from North American natural gas, a resource with growing domestic reserves. » learn more about the lifecycle of plastics

How are plastics made?

Plastics begin their lives in a refinery or chemical facility as feedstocks that are processed into polymers. Many polymers are then shaped into small pellets that can be shipped all over the country to be made into plastic consumer products, including packaging.
It’s a sizeable enterprise—the U.S. plastics industry employs approximately one million workers and contributes $375 billion to the economy.
Many of the companies that produce feedstocks and plastics belong to Responsible Care®, the chemical industry’s performance initiative on safe, responsible and sustainable management of their products (every American Chemistry Council member company belongs to Responsible Care). » learn more on how plastics are made and where they are used, including packaging

Bioplastics

A growing amount of plastics is made from feedstocks that are grown, such as sugar cane or corn. In fact, the first plastics including cellophane were made from bio-based materials—these plastics were largely eclipsed by more efficient plastics. Bioplastics are reemerging today as scientists develop more efficient ways to produce them, as well as in response to concern over the use of finite resources, primarily natural gas and oil. Although bioplastics represent an important area of innovation, attention should be paid to their sustainability considerations (environmental, economic and social), such as water use, recyclability, the effects of farming, greenhouse gas emissions, food supply, and the cost of food.


And there are common misconceptions regarding bioplastics. Many people believe—incorrectly—that all bioplastics are biodegradable; however, the use of plant feedstocks does not necessarily lead to biodegradable plastics. For example, PET plastic made from plant feedstocks has the same chemical formula as PET made from natural gas and oil feedstocks. Bio-based PET plastic is not biodegradable, but it is recyclable. The bioplastic PLA, on the other hand, can biodegrade in a commercial composting facility—but it likely will not be accepted in many of today’s recycling programs (current volumes of PLA are too low to efficiently separate and recycle). » learn more about bioplastics and biodegradability/recycling

Credit: Plasticpackagingfacts.org

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ประเภทของบรรจุภัณฑ์

ประเภทของบรรจุภัณฑ์สามารถแบ่งได้หลายวิธี

1. แบ่งตามวิธีการบรรจุและวิธีการขนถ่าย
2. แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้
3. แบ่งตามความคงรูป
4. แบ่งตามวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ใช้

1. ประเภทบรรจุภัณฑ์แบ่งตามวิธีบรรจุและวิธีการขนถ่าย สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท

  1. บรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วย (Individual Package)

    คือ บรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสอยู่กับผลิตภัณฑ์ชั้นแรก เป็นสิ่งที่บรรจุผลิตภัณฑ์เอาไว้เฉพาะหน่วย โดยมีวัตถุประสงค์ขั้นแรกคือ เพิ่มคุณค่าในเชิงพาณิชย์ (To Increase Commercial Value) เช่น การกำหนดให้มีลักษณะพิเศษเฉพาะหรือทำให้มีรูปร่างที่เหมาะแก่การจับถือ และอำนวยความสะดวกต่อการใช้ผลิตภัณฑ์ภายใน พร้อมทั้งทำหน้าที่ให้ความปกป้องแก่ผลิตภัณฑ์โดยตรงอีกด้วย

  2. บรรจุภัณฑ์ชั้นใน (Inner Package)

    คือ บรรจุภัณฑ์ที่อยู่ถัดออกมาเป็นชั้นที่สอง มีหน้าที่รวบรวมบรรจุภัณฑ์ขั้นแรกเข้าไว้ด้วยกันเป็นชุด ในการจำหน่ายรวมตั้งแต่ 2 – 24 ชิ้นขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ขั้นแรก คือ การป้องกันรักษาผลิตภัณฑ์จากน้ำ ความชื้น ความร้อน แสง แรงกระทบกระเทือน และอกนวยความสะดวกแก่การขายปลีกย่อย เป็นต้น ตัวอย่างของบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ ได้แก่ กล่องกระดาษแข็งที่บรรจุเครื่องดื่มจำนวน ฝ 1 โหล , สบู่ 1 โหล เป็นต้น

  3. บรรจุภัณฑ์ชั้นนอกสุด (Out Package)

    คือ บรรจุภัณฑ์ที่เป็นหน่วยรวมขนาดใหญ่ที่ใช้ในการขนส่ง โดยปกติแล้วผู้ซื้อจะไม่ได้เห็นบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้มากนัก เนื่องจากทำหน้าที่ป้องกันผลิตภัณฑ์ในระหว่างการขนส่งเท่านั้น ลักษณะของบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ ได้แก่ หีบ ไม้ ลัง กล่องกระดาษขนาดใหญ่ที่บรรจุสินค้าไว้ภายใน ภายนอกจะบอกเพียงข้อมูลที่จำเป็นต่อการขนส่งเท่านั้น เช่น รหัสสินค้า (Code) เลขที่ (Number) ตราสินค้า สถานที่ส่ง เป็นต้น

2. การแบ่งประเภทบรรจุภัณฑ์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้

บรรจุภัณฑ์เพื่อการขายปลีก (Consumer Package)

เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ผู้บริโภคซื้อไปใช้ไป อาจมีชั้นเดียวหรือหลายชั้นก็ได้ ซึ่งอาจเป็น Primary Package หรือ Secondary Package ก็ได้

บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง (Shopping หรือ Transportation Package)

เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้รองรับหรือห่อหุ้มบรรจุภัณฑ์ขั้นทุติยภูมิ ทำหน้าที่รวบรวมเอาบรรจุภัณฑ์ขายปลีกเข้าด้วยกัน ให้เป็นหน่วยใหญ่ เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการเก็บรักษา และการขนส่ง เช่น กล่องกระดาษลูกฟูกที่ใช้บรรจุยาสีฟัน กล่องละ 3 โหล

3. การแบ่งบรรจุภัณฑ์ตามความคงรูป

  1. บรรจุภัณฑ์ประเภทรูปทรงแข็งตัว (Rigid Forms)

    ได้แก่ เครื่องแก้ว (Glass Ware) เซรามิคส์ (Ceramic) พลาสติกจำพวก Thermosetting ขวดพลาสติก ส่วนมากเป็นพลาสติกฉีด เครื่องปั้นดินเผา ไม้ และโลหะ มีคุณสมบัติแข็งแกร่งทนทานเอื้ออำนวยต่อการใช้งาน และป้องกันผลิตภัณฑ์จากสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดี

  2. บรรจุภัณฑ์ประเภทรูปทรงกึ่งแข็งตัว (Semirigid Forms)

    ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกอ่อน กระดาษแข็งและอลูมิเนียมบาง คุณสมบัติทั้งด้านราคา น้ำหนักและการป้องกันผลิตภัณฑ์จะอยู่ในระดับปานกลาง

  3. บรรจุภัณฑ์ประเภทรูปทรงยืดหยุ่น (Flexible Forms)

    ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุอ่อนตัว มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ได้รับความนิยมสูงมากเนื่องจากมีราคาถูก ( หากใช้ในปริมาณมากและระยะเวลานาน ) น้ำหนักน้อย มีรูปแบบและโครงสร้างมากมาย

4. แบ่งตามวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ใช้

การจัดแบ่งและเรียกชื่อบรรจุภัณฑ์ในทรรศนะของผู้ออกแบบ ผู้ผลิต หรือนักการตลาด จะแตกต่างกันออกไป บรรจุภัณฑ์แต่ละประเภทก็ตั้งอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์หลักใหญ่ (Objective Of Package) ที่คล้ายกันคือ เพื่อป้องกันผลิตภัณฑ์ (To Protect Products) เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ (To Distribute Products) เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ (To Promote Products)

Credit: mew6.com

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Checklist ของบรรจุภัณฑ์ที่ดี

รายการตรวจสอบของบรรจุภัณฑ์ที่ดี

ข้อควรรู้ในการออกแบบพัฒนา บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าของท่าน

คราวนี้ขออนุญาตเข้าเรื่องว่าด้วยรายละเอียด และข้อควรรู้ในการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าของท่านไม่ว่าจะดำเนินการด้วยตัวท่านเอง หรือว่าจ้างนักออกแบบเป็นผู้ดำเนินการให้

จะขอเริ่มด้วยคุณสมบัติอันพึงประสงค์ 5 ข้อของบรรจุภัณฑ์ หรืออาจเรียกว่า 5 C Checklist เพื่อให้แน่ใจว่าบรรจุภัณฑ์ที่จะพัฒนาขึ้น นอกจากสามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะของสินค้าแต่ละประเภทแล้วยังมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่บรรจุภัณฑ์ที่ดีพึงมี
Checklist

1. Contain and Protect การบรรจุและคุ้มครอง

หน้าที่หลักของบรรจุภัณฑ์ คือ การคุ้มครองปกป้องสินค้าที่มีอยู่ภายในให้ถึงมือผู้ใช้ได้อย่างปลอดภัย บรรจุภัณฑ์ที่ดีต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น รักษาคุณภาพของสินค้า รวมถึงกระบวนการในการจัดส่งหรือโลจิสติกส์ เช่น ขนาด น้ำหนัก ความเหมาะสม ความสะดวกในการจัดเก็บเป็นต้น

2. Communication การสื่อสาร

หน้าที่ต่อมา คือ การสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอยู่ภายในอย่างชัดเจนทั้งข้อมูลที่บังคับให้แสดงตามกฏหมาย เช่น ส่วนผสม ส่วนประกอบต่างๆ จนไปถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ด้านการตลาด เช่น จุดเด่น หรือข้อดีต่างๆ ของสินค้า

3. Convenience ความสะดวกสบาย

เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความพึงพอใจแก่ลูกค้าและนำมาซึ่งการซื้อซ้ำ (Repeat Buy) เช่นลักษณะขวดที่หยิบถือสะดวก เทได้ง่ายหรือกล่องที่สามารถหิ้วพกพาได้สะดวก ปัจจัยด้านความสะดวกสบายถือเป็น Function ซึ่งอาจมองเห็นไม่ชัดเจน ณ จุดขาย แต่จะช่วยให้เกิดความพึงพอใจในระยะยาว ซึ่งช่วยเพิ่มความแตกต่างให้กับต้วผลิตภัณฑ์

4.Consumer Appeal แรงดึงดูดใจ

ถือเป็นจุดสำคัญที่สร้างแรงจูงใจให้เกิดการซื้อสินค้าหรือที่กล่าวกันทั่วไปว่าบรรจุภัณฑ์ คือ นักขาย ไร้เสียง (Silence Salesman) การสร้างแรงดึงดูดใจเกิดได้จาก 2 ส่วน คือ

4.1 ลักษณะรูปแบบโครงสร้างของบรรจุภัณฑ์ เช่น ขวดน้ำผลไม้ที่มีลักษณะเหมือนลูกผลไม้ กล่องกระดาษที่มีรูปทรงเตะตา

4.2 รูปแบบของลวดลายหรือกราฟฟิกบนบรรจุภัณฑ์ เช่น ภาพ สี ตัวอักษรที่มีบุคลิกโดดเด่น รวมไปถึงข้อความที่กระตุ้นอยากให้ทดลองสินค้า เช่น Try Me, Have a Bite

5. Conserve Environment การรักษาสภาวะแวดล้อม

เป็นเรื่องที่อาจจะยังไม่ได้รับความสนใจนัก แต่เป็นกระแสที่กำลังมาแรงโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว บรรจุภัณฑ์ที่ดีควรใช้วัสดุที่เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสภาวะแวดล้อม นำไปหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ และที่สำคัญไม่ควรใช้วัสดุสิ้นเปลืองเกินไป

เห็นได้ว่าการ Checklist ในรายละเอียดของการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์จะช่วยให้ท่านได้สำรวจข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้นที่พึงมีได้อย่างครบถ้วน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการแข่งขันในปัจจุบันที่ผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสินตลาด

Credit: VayoKnowledge.com

 

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

10 กลยุทธ์สำหรับการบรรจุภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ

10 strategies for successful packaging

1. ทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณโดดเด่น Make your product stand out
2. แตกต่าง Break with convention
3. ผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุประสงค์ Products with purpose
4. เพิ่มบุคลิกภาพ Add personality
5. รู้สึกดี Feel-good factor
6. ง่าย Keep it simple
7. ตราสินค้า Tiered branding
8. ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง The cost of transport
9. ความเร็ว Speed to shelf
10. ป้องกันตัวเอง Protect yourself

Credit: computerarts.co.uk

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การทดสอบบรรจุภัณฑ์พลาสติก

การทดสอบบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพื่อความปลอดภัย

FoodPlastic

ในปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีบทบาทสำคัญที่สำหรับธุรกิจสินค้าอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการส่งออกสินค้าอาหาร นี้เป็นเพื่อความหลีกเลี่ยงที่อาหารจะเสื่อมสภาพ สูญเสียคุณค่าทางอาหาร หรือเพื่อความสวยงามและความสะดวกในการขนส่ง ผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าอาหารสำหรับการส่งออก รวมถึงโรงงานผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ควรใส่ใจในการเลือกใช้และผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกให้มีคุณภาพที่เข้ากับมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรให้บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานของประเทศคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรป ซึ่งประเทศไทยส่งสินค้าอาหารไปจำหน่ายมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี

สหภาพยุโรปได้ทำการกำหนดระเบียบเกี่ยวกับวัสดุและบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีการสัมผัสอาหาร ตามคำแนะนำในระบบประกอบของ Directive 2002/72/EC เกี่ยวกับวัสดุและสิ่งของพลาสติกที่มีจุดประสงค์เพื่อสัมผัสกับอาหาร ” ระบบนี้กำหนดไว้ว่าวัสดุและสารที่มีการสัมผัสกับอาหารไม่สามารถย้ายสารใด ๆ จากวัสดุบรรจุภัณฑ์ไปสู่อาหารในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหรือสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในองค์ประกอบของอาหาร และไม่สามารถทำให้ลักษณะทางกายภาพเช่นรูปร่าง รส กลิ่น และสีของอาหารเปลี่ยนแปลงได้ ในระบบนี้ ก็ได้ห้ามการใช้สารที่เรียกว่า azodicarbonamide ในกระบวนการผลิตอาหารพลาสติกอย่างเด็ดขาด เนื่องจากสารชนิดนี้สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งในผู้บริโภคได้ นอกจากนี้ ระบบยังได้กำหนดกลุ่มของสารที่อนุญาตให้ใช้ รวมถึงกลุ่มของสารที่จะถูกเลิกใช้ในระยะเวลาใด ๆ ซึ่งจะมีการประกาศอนุญาตการใช้สารชนิดใหม่ ๆ โดยระบุการใช้งานอย่างชัดเจน ทั้งนี้ สหภาพยุโรปได้แก้ไขระเบียบเหล่านี้ทั้งหมดไปแล้วสี่ครั้ง โดยรุ่นล่าสุดจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 31 มีนาคม 2007 เป็นต้นไป ถ้าผู้สนใจต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสหภาพยุโรป (EUROPA) หรือที่ www.thaieurope.net

คำว่า ‘พลาสติกที่สัมผัสกับอาหาร’ ครอบคลุมถึงพลาสติกชั้นเดียว, พลาสติกหลายชั้น (พลาสติกหลายชั้นและวัสดุที่มีลักษณะเป็นชั้นหรือใช้เป็นชั้นเคลือบในฝาปิด) กระบวนการผลิตมีการใช้สารตั้งต้น (โมโนเมอร์เริ่มต้น) เช่นไวนิลคลอไรด์, 1,3-บิวตาดีน และมีการเติมสารเพิ่มเติมเพื่อให้พลาสติกมีคุณสมบัติตามที่ต้องการ เช่นสารฟาลาต, สารเพลสติไซเซอร์ สารเหล่านี้มีขนาดโมเลกุลเล็ก สามารถเคลื่อนย้ายจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกไปสู่อาหาร ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภคได้

Credit: barascientific.com

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ใช้วัสดุพลาสติกทำบรรจุภัณฑ์

วัสดุพลาสติกทำบรรจุภัณฑ์

พลาสติกเป็นวัสดุที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงมาก คุณประโยชน์ของพลาสติก คือ มีน้ำหนักเบาป้องกันการซึมผ่านของอากาศ และก๊าซได้ระดับหนึ่งสามารถต่อต้านการทำลายของแบคทีเรียและเชื้อรา คุณสมบัติหลายอย่างที่สามารถเลือกใช้งานที่เหมาะสม พลาสติกบางชนิดยังเป็นฉนวนกันความร้อนอีกด้วย ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกได้แก่ ฟิล์มพลาสติกรัดรูป ขวด ถาด กล่อง และโฟม ภาชนะบรรจุภัณฑ์ที่ทำด้วยพลาสติก

พลาสติกเป็นสารสังเคราะห์จำพวกโพลิเมอร์ มีหลายชนิดและมีคุณสมบัติที่ แตกต่างกันออกไป เช่นกันการซึมของน้ำ อากาศ ไขมัน ทนต่อความเย็น และความร้อน ทนต่อกรด หรือด่าง ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า และความร้อน มีลักษณะอ่อนและแข็ง และมีหลายรูปทรง

plasticcolour

พลาสติกแบ่งตามรูปแบบได้ 2 ประเภทคือ

1. ภาชนะพลาสติก

1.1 ขวดพลาสติก
1.1.1 ขวดทำจากพอลลิไวนิลคลอไรด์(PVC) ใช้บรรจุน้ำมัน น้ำผลไม้
1.1.2 ขวดทำจากพอลลิเอทีลีน ( PE ) ชนิดความหนาแน่นสูงใช้บรรจุนม น้ำดื่ม ยา สารเคมี ผงซักฟอก เครื่องสำอาง
1.1.3 ขวดทำจากพอลลิเอสเธอร์ (PET) ใช้บรรจุน้ำอัดลม เบียร์
1.2 ถ้วยพลาสติก ถัวยไอศรีม ถ้วยสังขยา
1.3 ถาดและกล่องพลาสติกแบบมีฝาและไม่มีฝา นิยมใช้บรรจุอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จ
1.4 สกีนแพค (skin pack) และบริสเตอร์แพค(blister pack)เป็นภาชนะพลาสติกที่ทำจากแผ่นพลาสติก ที่ขึ้นรูปด้วยความร้อนแล้วนำมาประกบหรือประกอบกระดาษแข็ง ซึ่งแผ่นพลาสติกดังกล่าวทำมาจากพอลลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) ตัวอย่างเช่นเครื่องเขียน แปรงสีฟันเป็นต้น

2. ฟิล์มพลาสติก คือพลาสติกที่เป็นแผ่นบางๆ ใช้ห่อ หรือทำถุง เช่น

2.1 ถุงเย็น ทำมาจากพลาสติกชนิด พอลลิเอทีลีน(PE) ชนิดความหนาแน่นต่ำ(LDPE) ใช้บรรจุของเย็นสามารถบรรจุอาหารแช่แข็งได้
2.2 ถุงร้อน ทำมาจากพลาสติกชนิด พอลลิพอพิลีน(PP) มีลักษณะใสมากหรือ พอลลิเอทีลีน(PE) ชนิดความหนาแน่นสูง(HDPE) ก็ได้
2.3 ถุงหูหิ้ว ทำมาจากพลาสติกชนิด พอลลิเอทีลีน(PE) ชนิดความหนาแน่นต่ำ(LDPE) และเป็นพลาสติกที่ใช้แล้วนำมาหลอมใช้ใหม่
2.4 ถุงซิป เป็นถุงที่มีปากถุงล็อคได้ทำมาจากพลาสติกชนิด พอลลิเอทีลีน
(PE) ชนิดความหนาแน่นต่ำ(LDPE)
2.5 ถุงพลาสติกหลายชั้นประกบติดกัน บางครั้งเป็นพลาสติกชนิดต่างๆ บางครั้งเป็นพลาสติกกับแผ่นอลูมิเนียม เรียกว่า ลามิเนท (Laminate) ใช้บรรจุอาหารที่สามารถอุ่นด้วยการนำถุงลงต้มในน้ำเดือดได้ ถุงที่สามารถป้องกันไม่ให้อากาศเข้าได้เลย ถุงที่สามารถกันชื้น กันไขมันและกันแสงได้ เป็นต้น
2.6 พลาสติกหดรัดรูป(Shrink Film) ฟิล์มชนิดนี้ จะหดตัวเมื่อได้รับความร้อน ตัวอย่างเช่นพลาสติกหุ้มห่อกล่องนมที่แพคขายคราวละ 6 กล่องเป็นต้น หรือฉลากที่ใช้ระบบการพิมพ์ลงบนฟิล์มชนิดนี้ เช่น ฉลากของขวดโค๊ก เป็นต้น

Credit: crnfe.ac.th

https://www.kvjunion.com/products/

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ ปี 2556

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ ปี 2556 Packaging Trend 2013

เมื่อพูดถึงกระแสของบรรจุภัณฑ์ ปี 2556 Scott Steele ประธานบริษัท Plastics technology ยังคงให้ความสำคัญกับวิธีการในการปกป้องสินค้าอย่างคุ้มค่า ถึงแม้ภาพลักษณ์ของยี่ห้อสินค้า รูปทรง รูปแบบต่างๆ รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานของบรรจุภัณฑ์ต่างเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ แต่หลักๆ แล้วต้นทุนยังคงเป็นคำตอบของทุกสิ่ง อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการลดต้นทุนแล้ว ยังมีหลายปัจจัยที่อุตสาหกรรมให้ความสนใจในปี 2556 นี้

การรีไซเคิล – ถึงแม้กระแสการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainability) ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ยังคงอยู่ในกระแสได้ตลอดเวลา สมาคม American Chemistry Council และ สมาคมผู้ประกอบการรีไซเคิลพลาสติก (The Association of Postconsumer Plastic Recyclers หรือ APR) เปิดเผยสถานการณ์การรีไซเคิลในปี 2555 ว่าเป็นมีการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยสมาคมเชื่อว่าภาคอุตสาหกรรมสามารถผลักดันให้มีการรีไซเคิลเพิ่มขี้นได้ รวมถึงให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคด้านการรีไซเคิลพลาสติก จากรายงานวิจัยจาก The Freedonia Group. คาดว่าสหรัฐอเมริกามีความต้องการเพิ่มปริมาณการรีไซเคิลพลาสติกปีละ 6.5% เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายการรีไซเคิลพลาสติกน้ำหนัก 3500 ล้านปอนด์ภายในปี 2559 ซึ่งการไปถึงเป้าหมายนี้ต้องมีการขับเคลื่อนหลายปัจจัยพร้อมกัน ได้แก่การเน้นย้ำความสำคัญของบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน การพัฒนากระบวนการ และค้นหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการรีไซเคิลพลาสติกได้หลากหลายและเปลี่ยนเป็นเม็ดเรซินที่มีคุณภาพสูง รวมถึงพัฒนากระบวนการและขั้นตอนในการเก็บและการแยกขยะ นอกจากนั้นการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลระดับประเทศก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มอัตราการรีไซเคิลได้

ปริมาณการใช้งานพลาสติกชีวภาพที่เพิ่มขึ้น – ถึงแม้พลาสติกชีวภาพมีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 1% ของยอดจำหน่ายพลาสติกทั้งหมด แต่นักวิจัยการตลาดจาก NanoMarkets คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7% ภายในปี 2563 อย่างไรก็ตามเพื่อให้มีศักยภาพสูงสุดในการแข่งขันในตลาด พลาสติกชีวภาพต้องมีราคาที่ต่ำลง โดยปัจจุบันพลาสติกชีวภาพมีราคาสูงเป็น 2-3 เท่าตัวของราคาพลาสติกที่มาจากปิโตรเลียมเนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงมากนั่นเอง การลดต้นทุนสามารถทำได้ถ้ามีปริมาณการใช้งานในสเกลใหญ่ขี้น และการใช้วัตถุดิบราคาถูกในกระบวนการผลิต เช่น การใช้แป้งมันสำปะหลังผลิต PLA ชีวภาพ (Bio-poly lactic acid) ซึ่งสามารถลดต้นทุนของวัตถุดิบลงได้ 70% นอกจากนั้นการปรับปรุงสมบัติเชิงเทคนิคของพลาสติกชีวภาพเพื่อให้ใช้งานได้กว้างขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ สำหรับขวดน้ำพลาสติกจะมีการใช้ PET ชีวภาพ (Bio-PET) แทนพลาสติกที่มาจากฟอสซิลทั้งหมด รวมถึงจะมีการนำโฟม PLA เข้าไปใช้ในงานบรรจุภัณฑ์อาหารด้วย

การเปิดตลาดเป็นกุญแจสำคัญ – บริษัท PCI Films Consulting ระบุ 13 ตลาดที่น่าสนใจสำหรับงานบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (Flexible packaging) ได้แก่ โปแลนด์ รัสเซีย ตรุกรี เม็กซิโก บราซิล อินเดีย อินโดนิเซีย ไทย เวียดนาม ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไนจิเรียและแอฟริกาใต้ ซึ่งตลาดเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันถึง 14,000 ล้านดอลลาร์ และมีการเติบโตเกือบ 70% ตั้งแต่ปี 2549 โดยปัจจุบันคิดเป็น 20% ของความต้องการในตลาดโลก เป็นที่น่าสนใจว่าถึงแม้หลายประเทศจะเจอวิกฤตเศรษฐกิจแต่ยังสามารถรับสถานการณ์ได้ดีด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปีตั้งแต่ปี 2549  อีกเหตุผลหนึ่งที่งานบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนนี้มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นเนื่องจากจำนวนประชากรและจำนวนซุปเปอร์มาร์เกตที่เพิ่มขึ้น

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของบรรจุภัณฑ์แบบ Pouches – Pouches เป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นถุงทนความร้อน จากรายงานวิจัยของบริษัท Mintel International.ในปี 2553 ที่ผ่านมามีผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 1210 รายการที่บรรจุในถุง Pouches ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 885 รายการในปี 2550 นอกจากนั้นบริษัท Freedonia Group ยังเปิดเผยว่าความต้องการของบรรจุภัณฑ์แบบ Pouches ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 5.1% ต่อปีจนเป็น 8800 ล้านดอลลาร์ ในปี 2559. สำหรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ Pouches ชนิดตั้งได้ (Stand-up pouch) คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.2% ทุกปีและมีมูลค่า 2000 ล้านดอลลาร์ในปี 2559 โดยมีอุตสาหกรรมอาหารเป็นตลาดใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ Pouches มีข้อได้เปรียบในเรื่องน้ำหนักเบา ประหยัดค่าขนส่งและลดปริมาณการใช้วัสดุเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์แบบแข็ง ในยุโรปกำลังนิยมใช้บรรจุภัณฑ์ Pouches ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงและน้ำผลไม้สำหรับเด็ก จากรายงานวิจัยยังพบว่าผู้บริโภคกลุ่มอายุ 18-25 ปีคิดว่าการใช้บรรจุผลิตภัณฑ์ในกระป๋องเป็นเรื่องเชยและชื่นชอบบรรจุภัณฑ์ Pouches มากกว่า

Credit: plastic.oie.go.th/ReadArticle.aspx?id=7455

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

พลาสติกจากข้าวโพด

วัสดุพลาสติกจากข้าวโพด

เมื่อกล่าวถึงพลาสติก น่าจะเป็นที่แน่ชัดว่าทุกคนคงรู้จัก และเคยสัมผัสกับวัสดุชนิดนี้ เนื่องจากพลาสติกเป็นวัสดุที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายในเกือบจะทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน พลาสติกเป็นสารพอลิเมอร์ (polymer) ซึ่งสังเคราะห์ได้จากการที่นำเอาหน่วยเล็กๆ ของสารประกอบที่มีโครงสร้างเหมือนกัน ที่เรียกว่ามอนอเมอร์ (monomer) มาเรียงต่อเป็นสายโซ่ยาว ซึ่งหากเปลี่ยนชนิดของมอนอเมอร์ที่ใช้ ก็จะได้สารพอลิเมอร์ที่มีชื่อ และคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่น หากใช้สไตรีน (styrene) เป็นมอนอเมอร์ ก็สามารถสังเคราะห์เป็นพอลิสไตรีน (polystyrene) ที่ใช้ผลิตโฟม หรือแก้วกาแฟ เป็นต้น

บรรจุภัณฑ์สลายตัว

นอกจากนี้ยังมีสารมอนอเมอร์ชนิดอื่นอีกมากมายที่นิยมนำมาผลิตเป็นพลาสติก ตัวอย่างเช่น ethylene และ propylene (ถุงพลาสติก), vinyl chloride (ท่อประปา), ethylene terephthalate (ขวด PET) ซึ่งสารมอนอเมอร์เหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบ ทั้งจากการกลั่นแยกปิโตรเลียมโดยตรง หรือนำมาผ่านกระบวนการทางเคมีอื่นก็ได้ เนื่องจากพลาสติกมีคุณสมบัติที่หลากหลาย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง จึงทำให้อัตราการผลิตและบริโภควัสดุชนิดนี้มีสูงมาก

.แต่อย่างไรก็ตามพลาสติกที่ผลิตได้เหล่านี้ก็กำลังก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้น เนื่องจากอัตราการกำจัดพลาสติกที่ใช้แล้วไม่สมดุลกับอัตราการผลิตนั่นเอง สืบเนื่องจากกระบวนการกำจัดวัสดุเหล่านี้หลังการใช้งานนั้นทำได้ยาก เพราะพลาสติกสามารถย่อยสลายได้ยากมาก หรือบางชนิดก็ไม่สามารถสลายตัวได้เลย แม้ในปัจจุบันจะมีการรณรงค์ให้นำพลาสติกบางชนิดกลับมาใช้ใหม่ โดยกระบวนการ recycle แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอกับอัตราการผลิตและการบริโภค นอกจากนี้วิธีการอื่นๆที่สามารถนำมาใช้เพื่อจัดการกับวัสดุเหล่านี้ เช่น การฝังกลบ การเผา ก็ก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมาอีก เช่น การรั่วไหลของสารพิษลงสู่แหล่งน้ำ หรือการเกิดก๊าซจากการเผาไหม้ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

คุณค่าทางทางเศรษฐกิจก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องพิจารณา นอกจากปัญหาด้านอัตราการบริโภค และการกำจัดขยะพลาสติกดังที่กล่าวมาแล้ว ราคาของปิโตรเลียมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นต่อไปอีกในอนาคต อันเนื่องมาจากหลักการตลาดของอุปสงค์และอุปทาน เพราะปริมาณปิโตรเลียมสำรองในธรรมชาติลดลง แต่กระบวนการเกิดขึ้นใหม่ตามธรรมชาติต้องใช้เวลานับร้อยๆปีในการทับถมของซากสิ่งมีชีวิต ซึ่งไม่สมดุลกับอัตราการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ดังนั้น จึงมีการคาดหมายว่าปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจะหมดไปจากโลกภายในแวลาอีกไม่เกิน 100 ปีข้างหน้า สาเหตุเหล่านี้ จึงเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการศึกษาค้นคว้าเพื่อผลิตวัสดุที่มีสมบัติทางกายภาพเทียบเคียงกับพลาสติก แต่สามารถผลิตได้จากวัตถุดิบที่ไม่ได้มาจากปิโตรเลียม และมีสมบัติที่สำคัญคือ สามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งในปัจจุบันมีการ ผลิตพอลิเมอร์ตามวัตถุประสงค์นี้ได้หลายชนิด

ในโอกาสนี้จะนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับพอลิแล็คติก แอสิด (polylactic acid) หรือพอลิแล็คไทด์ (polylactide) ก่อน เนื่องจากเป็นวัสดุที่ได้รับความสนใจผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางการค้าอย่างแพร่หลายในขณะนี้ โดยพอลิเมอร์ชนิดนี้สังเคราะห์ได้จากวัตถุดิบทางการเกษตรจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง หรืออ้อย เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้ข้าวโพดเป็นหลัก กระบวนการสังเคราะห์พอลิแล็คติก แอสิดถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกโดยนักวิจัยจากบริษัท Dupont ในสหรัฐอเมริกา ที่ชื่อ W.H. Carothers เมื่อปี ค.ศ. 1932 หลังจากนั้นก็มีการศึกษาและพัฒนากระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันมีบริษัทที่ผลิตพอลิเมอร์ชนิดนี้ทางการค้าหลายบริษัท ที่สำคัญ คือ บริษัท Cargill Dow ประเทศสหรัฐอเมริกา และบริษัท Mitsui Chemical ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

Credit: vcharkarn.com/varticle/277

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

สูตรและวิธีการทำแชมพูสระผมสมุนไพร

แชมพูสระผมสมุนไพร

หากคุณกำลังมีปัญหาเส้นผมบาง รากผมไม่แข็งแรง ผมหลุดร่วงง่าย เป็นรังแค คันศีรษะอยู่บ้างหรือเปล่า? แล้วคุณใช้แชมพูอะไรสระผม? คุณรู้ไหมว่าแชมพูสระผมที่คุณใช้อยู่นั้นเขาใช้อะไรเป็นส่วนผสมบ้าง แล้วที่เขาโฆษณาว่าเป็น”แชมพูสมุนไพร” หรือ “มีส่วนผสมที่สกัดจากธรรมชาติ” นั้น เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน? แล้วมันเหมาะสมกับคุณหรือเปล่า? ถ้าคุณตอบคำถามนี้ไม่ได้หรือไม่แน่ใจ อยากให้คุณอ่านบทความนี้และลองหาโอกาสมาเรียนรู้วิธีการทำแชมพูสมุนไพร สูตรที่เหมาะสมกับตัวเราเองกันดีกว่า เผื่อคุณจะได้คำตอบที่ดีกว่าเดิม

ก่อนอื่นควรทราบถึงคุณสมบัติของสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการดูแลหรือบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ และเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพของเส้นผมและหนังศีรษะของตัวเราเอง ได้แก่

  • ผลมะกรูด น้ำจากผลมะกรูดจะมีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยสลายไขมันและชะล้างสิ่งสกปรกที่เกาะบนเส้นผมและหนังศีรษะได้ดี (แต่ไม่ควรใช้น้ำมะกรูดชะโลมบนเส้นผมโดยตรงเป็นประจำ เพราะจะทำให้ผมจะเปราะ ขาดง่าย เพราะน้ำมะกรูดเป็นกรดค่อนข้างมาก มีค่า pH ประมาณ 3.5)
  • ผิวมะกรูด น้ำมันจากเปลือกผลมะกรูดมีกลิ่นหอม  และช่วยบำรุงให้เส้นผมเป็นเงางาม
  • ผลมะเฟือง น้ำจากผลมะเฟืองมีฤทธิ์เป็นกรด (ค่อนข้างมาก pH 2.5-3) ช่วยสลายไขมันและชะล้างสิ่งสกปรกที่เกาะบนเส้นผมและหนังศีรษะได้ดี  เมื่อนำมาผสมน้ำให้เจือจางลงใช้สระผมจะช่วยบรรเทาอาการคันศีรษะได้ดี (แต่ก็ไม่ควรใช้น้ำมะเฟืองชะโลมบนเส้นผมโดยตรงเป็นประจำเช่นกัน)
  • ผลมะคำดีควาย น้ำที่สกัดจากผลมะคำดีควาย จะมีคุณสมบัติช่วยลดรังแค รักษาอาการชันนะตุและหนังศีรษะที่เป็นเชื้อรา แต่การใช้ต้องระวังไม่ให้เข้าตา เพราะจะแสบมาก
  • ดอกอัญชัน  น้ำที่สกัดจากดอกอัญชัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เมื่อนำมาใช้หมักผม ก่อนสระ 15 นาที หรือใช้ผสมกับแชมพูสระผม เมื่อใช้เป็นประจำ จะช่วยทำให้รากผมแข็งแรงขึ้น เส้นผมไม่หลุดร่วงง่าย
  • ต้นตะไคร้ น้ำที่สกัดจากต้นตะไคร้เมื่อนำมาใช้หมักผมก่อนสระหรือใช้ผสมกับแชมพูสระผม เมื่อใช้เป็นประจำ จะช่วยบรรเทาอาการเส้นผมแตกปลาย ลดรังแคและบรรเทาอาการคันศีรษะ
  • ใบว่านหางจระเข้  เมื่อนำวุ้นใสๆ ที่ได้จากใบว่านหางจระเข้ มาใช้หมักผมก่อนสระหรือใช้ผสมกับแชมพูสระผม เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยให้ผมนุ่มสลวย หวีง่ายและช่วยรักษาแผลบนหนังศรีษะ
  • ต้นฟ้าทลายโจร น้ำที่สกัดจากต้นฟ้าทลายโจร (ใบ ต้น ฝัก) จะมีสารยับยังการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด เมื่อนำมาใช้หมักผมก่อนสระหรือใช้ผสมกับแชมพูสระผม เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยลดอาการเส้นผมหลุดร่วงง่าย

นอกจากนี้แล้วในประเทศไทยยังมีสมุนไพรที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมอีกหลายชนิดที่รอให้คุณได้ศึกษา เรียนรู้และเลือกใช้ให้เหมาะสม  เอาล่ะเกริ่นนำมามากแล้ว มาลงมือทำแชมพูสมุนไพรสูตรตามใจคุณกันดีกว่า

ส่วนผสมแชมพูสระผม สมุนไพร
  • แชมพูออย (EMAL 28CT)     500  กรัม
  • ผงฟอง (ช่วยให้ฟองมาก)     50 กรัม
  • ผงข้น (ช่วยให้น้ำยาสระผมข้นขึ้น)     125– 150  กรัม
  • ลาโนลิน (ช่วยให้เส้นผมลื่น)     50  กรัม
  • น้ำใบหมี่สด (น้ำสมุนไพรตามต้องการ)     1.5 กก. (หรือลิตร)
  • น้ำจุลินทรีย์ผลไม้เปรี้ยว     500  กรัม
  • เกลือ     500 กรัม
  • น้ำหอมกลิ่นตามชอบ      ปริมาณเล็กน้อย
วิธีทำแชมพูสระผม สมุนไพร
  1. แบ่งน้ำใบหมี่สดปริมาณเล็กน้อยใส่ภาชนะ ตั้งไฟพอน้ำร้อน  นำลาโนลินละลายในน้ำร้อน นำเกลือลงไปผสมและน้ำจุลินทรีย์ผลไม้เปรี้ยว คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงพักเอาไว้
  2. นำน้ำใบหมี่สดที่เหลือ ใส่ในภาชนะใบใหญ่ (ควรใช้ภาชนะพลาสติกหรือสแตนเลส)
  3. ค่อยๆ ใส่ผงฟองลงในน้ำทีละน้อย พร้อมกับคนให้ผงฟองละลายจนหมด ใส่แชมพูออย คนให้ส่วนผสมเข้ากัน
  4. ค่อยๆ ใส่ผงข้นทีละน้อยคนให้ละลายเข้ากัน (ไม่ต้องถึง 150 กรัมก็ได้ ดูว่าน้ำยาข้นก็ใช้ได้ อย่าใช้เกิน น้ำยาจะเหลว) แล้วจึงใส่ลาโนลีนที่ละลายเตรียมไว้ในข้อ 1 คนให้ส่วนผสมเข้ากัน
  5. ใส่กลิ่นตามที่ต้องการ แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ฟองยุบตัวจึงกรอกใส่ในภาชนะ พร้อมใช้หรือจำหน่าย
วิธีทำน้ำจุลินทรีย์ผลไม้เปรี้ยว

ใช้น้ำหมักผลไม้เปรี้ยวตามต้องการ เช่น มะกรูด มะนาว หรือมะเฟือง น้ำหนักรวม 3 กิโลกรัม ผสมคลุกกับน้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม หมักทิ้งไว้ 3 เดือน แล้วจึงนำมากรองเอาเฉพาะน้ำจุลินทรีย์มาใช้

ข้อควรทราบ

1. สมุนไพรที่นำมาใส่ในแชมพูสระผม มีหลายชนิด ควรศึกษาถึงคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละชนิดและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตนเอง  ตัวอย่างเช่น

  • น้ำที่สกัดจากดอกอัญชัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้รากผมแข็งแรง เมื่อใช้ได้สักระยะหนึ่งจะสังเกตเห็นว่ามีผมร่วงน้อยลงและมีผมใหม่ขึ้นมากกว่าเดิม  เตรียมน้ำดอกอัญชันโดยนำหม้อใส่น้ำปริมาณไม่ต้องมากนัก ต้มน้ำให้เดือด แล้วนำกลีบดอกอัญชันใส่ลงในน้ำเดือด (ควรเลือกใช้ชนิดดอกสีน้ำเงิน) ใช้ทัพพีคนคลุกเคล้าไปมาจนเห็นดอกอัญชันสีซีดลงและน้ำต้มดอกอัญชันเป็นสีน้ำเงินเข้ม จึงกรองเฉพาะน้ำมาใช้ เมื่อผสมแล้วจะได้แชมพูสีม่วงสดใส แต่สีม่วง ในผลิตภัณฑ์นี้จะค่อยๆ สลายตัวไปทีละน้อยเนื่องจากเป็นสารธรรมชาติ สลายตัวได้ง่าย แต่สามารถยืดอายุด้วยการเก็บในตู้เย็น
  • น้ำที่สกัดจากผลมะคำดีควาย มีคุณสมบัติลดรังแค รักษาอาการชันนะตุและเชื้อราบนหนังศีรษะ เตรียมโดยใช้ผลมะคำดีควายแห้ง (หาซื้อได้ตามร้ายขายสมุนไพรหรือยาไทยแผนโบราณ) แช่น้ำให้นุ่ม  ต้มให้เดือดและกรองเอาเฉพาะน้ำมาใช้
  • ว่านหางจระเข้ วุ้นใสๆ ที่ใบมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผมให้นุ่มชุ่มชื้น เตรียมได้โดยปอกเปลือกใบว่านหางจระเข้ออกให้หมด แล้วล้างยางสีเหลืองให้หมด (ถ้าล้างยางไม่หมด ยางจะกัดผิวหนัง) นำวุ้นมาใส่โถปั่นให้ละเอียด

2. น้ำหมักชีวภาพที่นำมาทำแชมพูสระผม มีหลายชนิด เช่น มะกรูด มะนาว มะเฟือง ส้มป่อย  เป็นต้น
3. หากต้องการให้แชมพูเก็บได้นาน ๆ ให้ใส่สารกันบูด 12 กรัม เพิ่มลงไปในส่วนผสมดังกล่าว

Credit: YesSpaThailand.com

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

นิปเปิ้ลให้น้ำสำหรับไก่กิน Nipple Drinker

นิปเปิ้ลให้น้ำสำหรับไก่กิน

นอกเหนือจากเรื่องของพันธุ์สัตว์ที่มักถูกละเลยแล้ว น้ำดื่มก็มักเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มกจะถูละเลยเช่นกัน ในเมื่อเป้าหมายหลักสูงสุดของของการสัตว์ก็คือการการเลี้ยงสัตว์เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด ซึ่งเกษตรกรทั่วไปมักให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหารสัตว์มากกว่า ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารสัตว์ในตอนนี้มันจะมีราคาที่มีแนวโน้มที่จะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รูปแบบของการวางระบบน้ำ คุณภาพของน้ำ และเทคนิดของการให้ยาเพื่อรักษาโรคโดยการผสมน้ำกินนั้นกลับไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร

ควรระลึกเอาไว้เสมอว่า ปริมาณของน้ำที่ไก่กินนั้นมากกว่าอาหารประมาณ 2-3 เท่าในแต่ละวัน ดังนั้นการขาดน้ำไก่กินจึงส่งผลเสียมากต่อขบวนการผลิตไก่ และนอกจากนี้ ถ้าคุณภาพของน้ำไม่ดีแล้ว การให้ยาโดยการละลายน้ำนั้น มันก็จะไม่มีประสิทธิภาพตามมาด้วย

การจัดการระบบการให้น้ำภายในฟาร์มไก่

การจัดการระบบการให้น้ำภายในฟาร์ม จะต้องมีการจัดการด้วยความระมัดระวัง โดยจะต้องมีการพิจารณาปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
1. ระบบน้ำจะต้องสามารถป้องกันการปนเปื้อนจะแหล่งน้ำสิ่งแวดล้อมได้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน และนอกจากนี้ ขนาดของปั้มน้ำ แท็งน้ำและท่อน้ำ ควรที่จะมีขนาดที่ใหญ่พอ เพื่อลดการสูญเสียแรงดันภายในระบบน้ำ
2. ระบบการกรองน้ำ ซึ่งถ้าจะให้ดีควรที่จะมีการขนาดของการกรองที่ระดับ 60 ไมครอน ซึ่งมันจะช่วยในการกรองตะกอนต่างๆที่ปนมากับน้ำได้ดี และนอกจากนี้มันจะช่วยลดการอุดตันภายในท่อของระบบการให้น้ำได้เป็นอย่างดี และนอกจานี้ ระบบการกรองที่ดีมันจะสามารถ ช่วยลดปัญหาการเกิดไบโอฟีมล์ ภายในท่อระบบน้ำได้ด้วย
3. มิเตอร์วัดปริมาณน้ำไก่กินและปริมาณของน้ำที่ใช้ไปทั้งหมด จะต้องมีการติดตั้งเอาไว้ทุกฟาร์ม หรือทุกโรงเรือนของการเลี้ยงไก่ ซึ่งถ้าการกินน้ำของไก่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติแล้ว มันก็สามารถที่จะบอกได้เป็นนัยๆว่า น่าจะเกิดปญหาขึ้นกับตัวไก่แล้ว ซึ่งทั้งนี้อาจจะบอกได้คร่าวๆว่า ไก่อาจจะป่วย หรือเกิดความเครียดขึ้นแล้ว ซึ่งการจัดการตรวจวัดปริมาณของน้ำไก่กินที่ถูกต้องนั้น จะช่วยทำให้การให้ยาโดยการละลายน้ำได้ผลดี หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. การให้ยาละลานน้ำแบบเทในแท็งใหญ่นั้น ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะเลิกใช้ เพราะว่ามันจะทำให้มีการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ภายในแท็งที่มากขึ้น และนอกจากนี้มันยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้สัตว์พาหะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนู แมลงสาป จิ้งจก ตกลงไปในแท็งได้ และนอกจากนี้ การให้ยาโดยการละลายน้ำในแท็งนี้ มันยังอาจจะทำให้ยาตกตะกอนภายในถังได้ ซึ่งเมื่อให้วัคซีนโดยการละลายน้ำภายในถังเดิมนี้ มันก็อาจจะมีผลการประสิทธิภาพของการให้วัคซีนกับไก่ด้วยก็ได้ แนวทางปฏิบัติโดยส่วนมาก ทั่วโลกมักจะใช้ปลั้มแรงดันสูงต่อเข้ากับระบการให้น้ำภายในฟาร์ม เพื่อที่จะทำให้แรงดันของน้ำกระจายไปได้อย่างทั่วถึงในทุกๆจุดของระบบท่อภายในฟาร์ม ซึ่งข้อดีก็คือ มันจะสามารถทำให้ไก่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอและทั่วถึงกันทุกจุดของระบบรายน้ำ
5. หัว นิปเปิ้ลไก่ Nipple Drinker จะต้องมีจำนวนที่เพียงพอ ต่อจำนวนของไก่ที่เลี้ยงอยู่ภายในโรงเรือนนั้นๆ

คุณภาพของน้ำไก่กิน และนิปเปิ้ลไก่

คุณภาพของน้ำเป็นเรื่องพื้นฐานที่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญมาก เพราะว่าโดยมาตรฐานของน้ำทั่วไปแล้ว ไม่ได้มีการกำหนดไว้ในแต่ละสายพันธ์ของสัตว์ที่นำมาเลี้ยง โดยทั่วไปจะใช้มาตรฐานของน้ำกินของมนุษย์แทน แม้ว่าส่วนประกอบบางตัวจะมีค่าตัวบ่งชี้ที่แตกต่างจากน้ำที่คนกินก็ตาม
ในเชิงอุดมคติแล้ว จะมีการแนะนำให้มีการตรวจน้ำปีละ 2 ครั้ง ซึ่งทั้งนี้ก็อาจจะมีการตรวจวิเคราะห์ ในช่วงฤดูแล้งกับฤดูฝน หรืออาจะเป็นช่วงฤดูร้อนกับฤดูฝน ก็ได้ ซึ่งการตรวจก็จะเป็นการตรวจทางกายภาพ ซึ่งการวิเคราะห์ก็จะมี เช่น ความเป็นกรดเป็นด่าง ความกระด้างของน้ำ ปริมาณของสารอินทรีย์ในน้ำ สนิมเหล็ก ไนเตรด ไนไตรด์ แอมโมเนียม คลอไรด์ เป็นต้น และนอกจากนี้การตรวจวิเคราะห์เชิงชีวภาพก็จะมี เช่น การตรวจลักษณะของเชื้อแบคทีเรียต่างๆ E.coli ,Clostridium , Coliforms Streptococci , Pseudomonas , Staphylococci เป็นต้น

การตรวจวิเคราะห์น้ำ ควรทำการสุ่มตัวอย่างน้ำที่จะนำมาทำการวิเคราะห์ จากหลายๆที่ เช่น ก้นบ่อ แอ่งน้ำ ผิวน้ำ แหล่งน้ำหลักที่ใช้ในการเลี้ยงไก่ เป็นต้น และที่สำคัญจุดปลายน้ำที่ไก่กิน หรือที่สัตว์สำผัสอยู่ก็มักจะเป็น จุดๆหนึงที่จะต้องนำมาตรวจสอบเพราะ มันมักจะเป็นจุดศูนย์รวมของการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ด้วย
เมื่อการการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆภายในท่อน้ำแล้ว เชื้อจุลินทรีย์เล่านั้นก็จะมีการเจริญเติบโต เพิ่มจำนวนขึ้นมาก แล้วหลังจากนั้นมันก็จะทำให้เกิดไบโอฟีมขึ้นภายในระบบน้ำของท่อรายน้ำไก่กิน ตามมา ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ฟาร์มไก่จะต้องทำเป้นประจำก็คือ การทำความสะอาดระบบรายน้ำและที่น้ำ ให้เป็นประจำด้วย และนอกจากนี้ จะต้องมีการวิเคราะห์ผลทางห้องปฏิบัติการของน้ำที่ส่งตรวจวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมออีกด้วย เมื่อพบว่าคุณภาพของน้ำไม่ดีแล้ว ก็จะต้องทำการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นกับไก่ที่เลี้ยงอยู่ภายในฟาร์ม ต่อไป

ในการแกไขปัญหาของคุณภาพน้ำไก่กินนั้น จะต้องต้องดูที่ปัญหาว่า ปัญหาหลักๆ ที่พบนั้นคืออะไร เช่น ถ้าพบว่าน้ำนั้นมีการปนเปื้อนแบคทีเรีย หรือเชื้อจุลินทรีย์ที่มากเกินไปแล้ว ก็จะต้องเพิ่มสารคลอรีนลงไปในน้ำ เพื่อที่จะช่วยในการฆ่าเชื้อในน้ำนั้นให้หมดไป หรือถ้าพบว่าน้ำนั้นมีความขุ่นเป็นจำนวนมาก ก็จะต้องทำการตกตะกอนของน้ำ ก่อนที่จะนำมาฆ่าเชื้อ เพื่อทำให้ผลของการฆ่าเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่เราไม่ควรที่จะมองข้ามเลยก็คือ ปัญหาของน้ำไก่กินที่มีตะกอนของสารอนินทรีย์มากๆ เช่น น้ำมีการปนเปื้อนของสาร แมกนีเชียม สารคอบเปอร์ซัลเฟต หรือแม้กระทั้ง แร่เหล็ก ซึ่งตะกอนเหล่านี้มันจะไปมีผลทำให้ท่อระบบรายน้ำเกิดการผุกร่อนขึ้นมาได้ และสุดท้ายก็จะทำให้ ระบบรายน้ำที่มีการจัดการอยู่ภายในฟาร์มไก่นั้นเกิดการเสียหายตามมาได้

การปรับปรุงคุณภาพน้ำไก่กิน และนิปเปิ้ลไก่

กระบวนการในการปรับปรุงคุณภาพของน้ำไก่กินนั้น สามารถที่จะทำได้หลายๆวิธี ซึ่งขึ้นกับคุณลักษณะของน้ำที่ นำมาใช้ เช่น

  • การฆ่าเชื้อในน้ำโดยใช้สารคลอรีน โดยมากแล้วมักจะมีการผสม หรือเติมสารคลอรีนลงไปในน้ำก่อนที่น้ำจะมีการใหลเข้าไปในแท็ง หรือท่อ เพื่อให้สารคลอรีนมีเวลาทำปฏิกิริยา ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ต่างๆก่อน ไม่น้อยกว่า 20 – 30 นาที โดยเชื้อโรคที่จำเป็นจะต้องฆ่าได้แก่ เชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรค เชื้อไวรัส ที่ก่อโรค เชื้อราที่ก่อโรค ในไก่ต่างๆ เป็นต้น
  • การฆ่าเชื้อในน้ำด้วย ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ คลอรีนไดออกไซด์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ มีหลายๆพื้นที่นิยมทำกัน แต่การฆ่าเชื้อโรคด้วยวิธีนี้ มันมักจะมีข้อกำกัดเหมือนกัน คือ มันจะออกฤทธิได้ดีในระบบน้ำที่เป้นระบบปิด เท่านั้น และถ้าน้ำมีตะกอนที่มากๆ มันจะออกฤทธิได้ไม่ดีเลย
  • การกรองน้ำ จะเป็นวิธีหนึงที่ทำให้คุณภาพของน้ำดีขึ้น โดยเฉพาะน้ำที่มีลักษณะที่ขุ่น ดังนั้นถ้าน้ำไก่กินขุ่น การกรองน้ำไก่กินก็เป็นอีกวิธีหนึง ที่ทำให้คุณภาพของน้ำในเชิงกาพดีขึ้น ได้
  • การทำให้น้ำมีฤทธิ์เป็นกรด ก็เป็นอีกวิธีหนึงที่สามารถลดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อจุลินทรีย์ ภายในน้ำไก่กินได้ ซึ่งสารที่จะนำมาทำให้น้ำเป็นกรด หรือลด ph ของน้ำนั้นจะมีอยู่หลายๆ ชนิด ซึ่งทั้งนี้ ควรที่จะให้เจ้าของฟาร์มทำการพิจารณาเลือกชนิดของผลิตภัณพ์ เพื่อความเหมาะสมในแต่ละที่
  • การจำกัดธาตุเหล็กในน้ำ ซึ่งน้ำไก่กินที่มีปริมาณของธาตุเหล็กมากๆนั้น มันจะส่งผลต่อคุณภาพของน้ำมาก เช่น มันจะไปขัดขวางประสิทธิภาพของการทำวัคซีนละลายน้ำ ทำให้ภูมิคุ้มกันภายในตวของไก่ขึ้นไม่ดี มันจะไปขัดขวางประสิทธิภาพของการฆ่าเชื้อของสารคลอรีนที่ไส่ลงไปในน้ำ เพราะธาตุเหล็กมันจะไปจับกับสารคลอรีนที่ไส่ลงไปในน้ำ มันจะไปส่งเสริมทำให้มีการอุดตันของระบบรายน้ำ และอุปกรณ์ที่ต่อผ่านระบบรายน้ำ และมันยังไปส่งเสริมทำให้มีการเพิ่มของจำนวนของจุลินทรีย์ภายในระบบรายน้ำ ได้มากอีกด้วย
  • สารในเตรทที่ผสมอยู่ในน้ำไก่กิน ก็จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะส่งผลทำให้สุขภาพของไก่ไม่ดีตามมา ซึ่งน้ำที่มีปริมาณของสารไนเตรทจำนวนมาก เราจำเป็นที่จะต้องทำการกำจัดออกไป ให้เร็ว และก็ให้มากที่สุดด้วย เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับสุขภาพของไก่ที่เลี้ยงภายในฟาร์มตามมา
  • ในกรณีที่น้ำไก่กินเป็น้ำกระด้าง ทางฟาร์มไก่ก็จำเป็นที่จะต้องทำการบำบัดก่อนที่จะส่งเข้าไปภายในรายน้ำ โดยการทำให้ความกระด้างของน้ำนั้นลดลงก่อน ซึ่งวิธีการลดความกระด้วงของน้ำนั้นก็มีอยู่หลายวิธี ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของฟาร์ม และในแต่ละพื้นที่นั้นๆ เพราะว่าน้ำกระด้างนั้น มันจะเนี่ยวนำทำให้เกิดปัญหาไปโอฟีมขึ้นภายในระบบท่อรายน้ำได้ ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันจะไปมีผลทำให้การให้ยา ให้วัคซีน โดยระลายน้ำไม่ได้ผล เกิดการอุดทันของท่อระบบรายน้ำ และสุดท้ายทำให้ปริมาณของเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ภายในระบบท่อ เพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น ซึ่งมันจะไปมีผลกระทบกับสุขภาพของไก่ที่เลี้ยงภายในฟาร์มตามมา

สำหรับเรื่องของ การจัดการน้ำที่สะอาดเพื่อที่จะใช้ในการบำบัดรักษาโรคต่างๆนั้น ได้มีการจัดการ หรือมีการทำมานาน
แล้วกว่า 30 ปี โดยปัจจุบันนี้ เทคนิคนี้ได้มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นได้ว่าทั่งร้านค้า และตลาดต่างก็มีอุปกรณ์ชนิดนี้ออกมาขายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้าของฟาร์มเลี้ยงไก่สามารถที่จะไปซื้อมาใช้ได้อย่างสะดวก ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวนี้ มันจะมุงเน้นไปทำให้คุณภาพของน้ำที่เรานำมาใช้ ดื่ม กิน หรือใช้อื่นๆ มีคุณภาพที่ดีขึ้น

การห้ามใช้ยาปฎิชีวนะในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่ใช้ในการผสมอาหาร หรือที่ใช้โดยการฉีดนั้นจะมีการห้ามใช้ในการเลี้ยงไก่เนื้อเลย ทำให้แนวทางการใช้ยาโดยการละลายในน้ำไก่กินนั้น จึงเป้นแนวทางที่มีความสนใจมากขึ้น และตอนนี้คงเชื้อได้ว่า ทุกบริษัทที่มีการผลิตไก่เนื้อเพื่อการส่งออกนั้นคงจะมีใช้ยาโดยการละลายน้ำเพียงอย่างเดียว เท่านั้น
การใช้สารชนิดต่างๆ เพื่อที่จะใช้ในการละลายโดยน้ำนั้น มีอยู่หลายๆอย่างที่สามารถที่จะทำได้ เช่น การละลายยาฆ่าโดยกับน้ำแล้วทำการฉีดพ่น การละลายยาฆ่าพายธิ การละลายวัคซีน การละลายยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาโรคต่างๆ การให้อาหารเสริมกับไก่ จำพวกวิตามิน การละลายโปไปโอติก หรือแม้กระทั่งการละลายกรดอินทรีย์ ต่างๆ เป็นต้น

การให้ยาโดยการละลาย

ข้อดีของการให้ยาโดยการละลายน้ำนั้น มีอยู่หลายประการ ดังต่อไป นี้

  • ในกรณีสัตว์ที่ป่วยมักจะมีแนวโน้ม ในการกินอาหารที่ลดลง และมีแนวโน้มที่มักจะกินอาหารที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะชดเชยปริมาณของน้ำที่จะสูญเสียไป และทำการรักษาอุณหภูมิ ของร่างกายให้คงที่ ดังนั้น การให้ยาโดยการละลายน้ำจึงเป็นที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก
  • ในการให้ยาโดยการละลายน้ำนั้น เราสามารถที่จะปรับระยะเวลาของการให้ยา ให้มีความเหมาะสมได้ เช่น อาจจะให้ 2-4 ชม. เพื่อทำให้ไก่ สามารถที่จะได้รับยาได้ทุกตัว เพื่อให้ผลของการให้ยานั้นมีประสิทธิภาพที่สูง สุด
  • วิธีการให้ยาสามารถที่จะทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ใช้อุปกรณ์น้อย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการให้ยาโดยวิธีอื่นแล้วสามรถที่จะปฏิบัติได้เร็วกว่า สะดวกสะบายกว่า
  • ในกรณีที่มีการให้ยาผิดพลาดพลาด เราสามารถที่จะแกไขได้โดยทันที ซึ่งจะไม่เหมือนกับการให้ยาโดยวิธีการผสมมาในอาหารเพราะว่า การให้ยาโดยวิธีการผสมมาในอาหารนั้น มันจะต้องมีการผสมในปริมาณที่มากๆ และบางทีจะต้องมีการแยกถังไซโล สำหรับเก้บอาหารต่างหากอีก
  • มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรค หรือสารเป็นอันตรายชนิดอื่นๆ ซึ่งในกรณีที่กล่าวถึงนี้ก็คือ การปนเปื้อนที่โรงงานผสมอาหารเอง หรือการปนเปื้อนสารชนิดต่างๆที่ฟาร์ม เลี้ยงไก่
  • ขนาดของยาที่ให้ หรือปริมาณของ Dose ของยาที่ใช้สามารถที่จะปรับได้ตามน้ำหนักตัวของไก่ได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องรอให้อาหารที่เราผสมยามานั้นหมดก่อน
  • ในกรณีของการให้วัคซีนกับไก่ สามารถที่จะทำการให้วัคซันกับไก่ในฝูงที่มีจำนวนไก่มากได้เลย ซึ่งทั้งนี้มันจะทำให้ประหยัดเวลา และแรงงานในการปฏิบัติงานด้วย แต่ว่าการให้วัคซีนโดยการละลายน้ำนั้น มันจะต้องคำนึงถึงเรื่องของคุณภาพน้ำอย่างอื่นด้วย เช่น น้ำจะต้องไม่มีสารคลอรีนผสมอยู่ เพราะสารคลอรีนนี้มันจะไปฆ่าวัคซีนที่ละลายอยู่ในน้ำนั้นตายหมด ซึ่งสุดท้ายก็จะทำให้ประสิทธิภาพของการทำวัคซีนไม่ได้ผลตามมา

ข้อดีของการให้ยาโดยการละลายน้ำและนิปเปิ้ลไก่

ในการให้ยาโดยการละลายน้ำ ที่มีการใช้ปั๊ม หรือ dosing pump นั้น จะมีข้อดีหลายๆ อย่าง ดังนี้

  • สามารถที่จะควบคุม จำนวนของการให้ยา ขนาดของการให้ยา ได้อย่างแน่นอน
  • ทำให้ไม่ต้องใช้ถังพักน้ำสำหรับใส่ผสมยาแยะต่างหาก ซึ่งในที่นี้ มันจะมีข้อดีหลายๆอย่าง เช่น เจ้าของฟาร์มไม่ต้องผวงเรื่องที่จะต้องมาเติมยา ไม่ต้องกลัวเรื่องของน้ำขาด ไม่ต้องกลัวเรื่องของยาที่จะตกตะกอน ไม่ต้องมาคอยกวนยาบ่อยๆ ไม่ต้องกลัวเรื่องของขนาดยาที่ไม่ถูกต้อง และไม่ต้องกลัวเรื่องของการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียภายในถังละลายยา และนอกจากนี้ ไม่ต้องกลัวสัตว์พาหะต่างๆที่จะเข้าไปในถังละลายยาด้วย เพราะถังสต็อกยาที่เราใช้มันจีขนาดเล็กและมีฝาปิดตลอดเวลาด้วย
  • ถังสต็อกที่มีขนาดเล็กนี้ สามารถที่จะทำความสะอาดได้ง่าย ไม่เหมือนกับถังละลายยาที่มีขนาดใหญ่ การล้างทำความสะอาดก็จะยาก ใช้แรงงานเป็นจำนวนมากในการปฏิบัติงาน
  • ถ้ากรณเกิดปัญหาในเรื่องของการหยุดการทำงานของปั๊ม การใช้ถังสต๊อกจะไม่เป็นปัญหากับระบบการให้น้ำไก่กิน เพราะว่าระบบของรายน้ำก็ยังสามารถที่จะให้น้ำไก่กินได้เป็นปกติ แต่ว่าถ้าให้ยาโดยการละลายน้ำแบบเป็นถังใหญ่แล้วละก็ ถ้าป็มในระบบรายน้ำไม่ทำงาน น้ำในระบบรายน้ำก็จะไม่ใหล และยาที่จะปล่อยเข้าไปสู่ระบบรายน้ำก็จะไม่ไหลตามไปด้วย ซึ่งก็จะทำให้เกิดผลกระทบกับการให้ยาในไก่ ตามมา
  • การละลายยาในถังใหญ่นั้น จะพบปัญหาได้หลายอย่าง เช่น ความสม่ำเสมอของยาที่จะเข้าไปภายในระบบรายน้ำนั้นจะต่ำ และถ้ายาที่ให้นั้นตกตะกอนด้วยแล้ว มันยิ่งจะมีผลทำให้คุณภาพของยาที่เข้าไปภายในระบบรายน้ำนั้น ไม่มีประสิทธิภาพ ตามไปด้วย และสุดท้ายก็จะมีผลกระทบกับไก่ตามมา
  • การควบคุมความเข้มข้นของการให้ยา และระยะเวลาการให้ยา การใช้ถงสต็อกหรือการใช้ฟั๊ม จะก่อให้เกิดผลที่ดี และมีความแน่นอนของ ปริมาณการให้ยาที่มากกว่า
  • การให้ยาโดยการละลายน้ำนั้น ถ้ายาที่จะให้เป้นรูปแบบที่เป็นผง มันก็ย่อมจะมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้นการให้ยาโดยการใช้ถังสต๊อก จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า แน่นอน
  • ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดขึ้น เช่น การวินิจฉัยโรคที่ผิดพลาด การให้ยาผิดชนิด หรือการให้ขนดของยาที่ผิดพลาด แล้วละก็ วิธีการใช้ถังสต๊อกกับป็มนี้ จะเป็นวิธีที่สามารถที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด เพียงแค่นำถังสต๊อกยาเก่าออกแล้ว นำน้ำเปล่าฉีดเข้าไปแทน เพื่อทำการล้างยาให้ออกจากระบบรายน้ำให้หมด เท่านี้ก็สามารถที่จะแก้ไข ปัญหาดังที่กล่าวมาได้แล้ว แต่จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ถึงแม้วิธีการให้ยาโดยการละลายน้ำจะมีข้อดีที่มากเพียงใดก็ตาม แต่ผู้ที่ทำการให้ยาก็จะต้องพึงระลึกถึงข้อห้ามต่างๆ ของยาแต่ละชนิดให้ดีด้วย ว่า มันมีข้อห้ามอย่างอื่นอะไรที่จะต้องมีการพิจารณาร่วมด้วย

ประสิทธิภาพของยา

ข้อควรปฏิบัติสำหรับประสิทธิภาพของยาที่ให้โดยการละลายน้ำ ได้แก่

  • เจ้าของฟาร์มจะต้องแน่ใจว่า ไก่ที่ได้รับยาโดยการละลายน้ำนั้น ได้มีการกินน้ำที่ผสมยานั้นจริง เพราะว่ายาบางชนิดมันขม จะมีผลทำให้ไปมันไม่กินน้ำ ซึ่งเมื่อไก่มันไม่กินน้ำ ก็จะทำให้ไก่ไม่ได้รับยา ตามมา
  • ในการให้ยาโดยการละลายน้ำนั้น สิ่งที่สำคัญมากก็คือ ปริมาณของน้ำที่ไก่กิน ซึ่งเราจะรู้ได้ก็จะต้องมีตัวเลขเป็นตัวบอกว่าไก่ใช้น้ำไปเท่าใหร่ ซึ่งในที่นี้ก็คือ โรงเรือนเลี้ยงไก่ จะต้องม มิเตอร์ สำหรับที่จะบันทึกปริมาณของน้ำที่ไก่กินเข้าไปด้วย ซึ่งสิ่งที่ว่านี้จะสำคัญมากต่อระบบการให้ยาโดยการละลายน้ำ เพราะว่า เราจะได้รู้ว่าน้ำที่เราผสมยาไปนั้น ไก่ภายในโรงเรือนมันกินได้หมด และกินได้หมด ภายในระบะเวลาท่เราต้องการด้วย เพื่อทำให้ประสิทธิภาพของการออกฤทธิของยาที่ให้นั้นได้อย่างเต็มที่
  • ในกรใช้ยาที่เป็นผงละลายน้ำนั้น จะต้องมีการพิจารณาคุณภาพของน้ำให้ดี ว่ายาที่ละลายนั้นมันสามารถที่จะละลายได้ 100% หรือไม่ เช่น ยาทั่วไปมักละลายได้ดีในน้ำที่มีลักษณะที่เป็นกรด ยาที่มีคุณสมบัติที่เป้นด่างมักละลายได้ดีในน้ำที่มีฤทธิ์เป็นกรด และน้ำที่เป้นน้ำกระด้าง หรือน้ำที่มีสารแขวนลอยมากๆ จะมีผลทำให้การออกฤทธิของยานั้นไม่ดี ซึ่งสารแขวนลอยนั้นมันจะไปจะกับอนุภาคของยาที่ทำการละลายในน้ำนั้น
  • ในการให้ยาที่มีปริมาณความเข้มข้นที่สูงๆ ยาที่ละลายน้ำนั้นมันมักจะไม่ละลาย ทำให้ยาบางส่วนเกิดการตกตะกอนได้ ซึ่งสุดท้ายจะทำให้ไก่ไม่ได้รับยาในปริมาณที่เติมที่ หรือเติมdose ดังนั้นการให้ยาละลายน้ำที่ดีจะต้องให้ตัวยามีความเข้มข้นไม่เกิน 5% ของน้ำที่จะทำการละลาย แต่ปัญหานี้สามารถที่จะทำการแก้ไขได้โดยการใช้ป็มกับถังสต๊อกยา เพราะจากที่กล่าวมาคือ มันจะสามารถที่จะปรับขนาดของการให้ยาที่เหมาะสมได้ และเราไม่จำเป็นที่จะต้องผสมยาในครั้งละมากๆ และนอกจากนี้ การล้างทำความสะอาด และการเปลี่ยนถังใหม่ก็สามารถที่จะทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็วอีกด้วย
  • จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าทางฟาร์มไก่ไม่มีความดือดร้อนมากนักกับเรื่องของต้นทุนอุปกรณ์ที่จะนำมาติดตั้งสำหรับการให้ยากับไก่ สิ่งที่เหมาะสมมากที่สุดก็คือ การใช้ป็มขนาดเล็กกับถังสต๊อกยา เพื่อควบคุมการให้ยาภายในฟาร์มไก่ จะทำให้ประสิทธิภาพของการใช้ยานั้นดีขึ้น
  • เทคนิคของการให้ยาโดยการละลายในน้ำนั้น อย่างหนึ่งที่จะต้องไม่ลืมเลยก็คือ หลายจากที่มีการให้ยาโดยการละลายน้ำแล้ว จะต้องมีการให้ ไก่ได้กินน้ำเปล่าด้วย ซึ่งน้ำเปล่านี้จะต้องป็มเข้าไปในรายระบบน้ำนานเป็นเวลา หลายๆชั่วโมงติดต่อกัน เพื่อให้ไก่ได้รับน้ำเปล่าบ้าง ไม่ให้ไก่เคลียส และที่สำคัญ เพื่อทำความสะอาดระบบท่อรายน้ำไก่กินให้สะอาดด้วย เพราะระบบท่อรายน้ำที่ทำการให้ยานั้น มันจะมีการตกตะกอนของยา และมีการปนเปื้อของยาด้วย ดังนั้นในการป็มน้ำเปล่าเข้าไปภายในระบบท่อรายน้ำนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีควมสำคัญมาก มันจะช่วยในการล้างท่อ และป้องกันไปโอฟีม ที่จะเกิดภายในระบบท่อรายน้ำ ดังท่กล่าวมา
  • ในการให้ยาโดยการละลายน้ำนั้น สิ่งที่สำคัญที่จะต้องมีการพิจารณาประกอบร่วมกันกันก็คือ ปริมาณน้ำที่จะต้องใช้ ปริมาณยาที่จะต้องใช้ น้ำหนักของไก่ที่จะให้ยา และระยะเวลาที่จะให้ยา ดังนั้น ผู้ที่จะคำนวนค่าต่างๆเหล่านี้ จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมาก ซึ่งถ้ามีการความนวนที่ผิดพลาดแล้ว ก็จะทำให้การให้ยานั้นไม่ได้ผล หรือไม่มีประสิทธิภาพที่ดี ตามมา
  • สุดท้ายนี้ ระบบการจัดการการให้น้ำแบบระบบท่อนั้น ฟาร์มไก่ที่มีการใช้นี้ จะต้องมีการควบคุมดูแล รักษา และปรับปรงซ่อมแซมให้ดี โดยในช่วงของการเตรียมโรงเรือนเลี้ยงไก่ ทางฟาร์มไก่จะต้องมีโปรแกรมในการล้างทำความสะอาด ให้ดี โดยเฉพาะตะกอนต่างๆ ไปโอฟีมที่อยู่ภายในท่อระบบการให้น้ำ จะต้องทำการล้างออกให้หมด และตรวจสอบซ่อมแซมท่อส่วนที่พัง เป็นรู ให้เรียบร้อย และจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า หัวนิปเปิลแต่ละหัวนั้น อยู่ในสภาพที่ดี ไม่มีรูรั่ว ในการล้างทำความสะอาดนั้น อาจจะมีการใช้กรดต่างๆ ล้างทำความสะอาด หรือใช้สารไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์ แช่หมัก แล้วใช้ป็มแรงดันสูงล้าง ออกก็ได้

เอกสารอ้างอิง
· Xavier C.. 2008. The Importance Of Drinking Water , feed and livestock , V5( 2 ) : 31-34 p.

ประจำเดือน มิถุนายน 2009
เรียบเรียงโดย น.สพ.ชัชวาลย์ สอนศรี
ผช.กรรมการผู้จัดการ

Credit: chat-chan-chtooo.blogspot.com/2009/07/blog-post_29.html

https://www.kvjunion.com/นิปเปิ้ลให้น้ำไก่

M.L.A. Nipple Drinker Facebook https://www.facebook.com/KVJUnionPoultryEquipment

นิปเปิ้ลให้น้ำไก่

นิปเปิ้ลให้น้ำไก่

ผลิตจากเนื้อพลาสติก POM มีความทนทานสูง ทนทานต่อกรด ด่าง รวมทั้งน้ำยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ติดตั้งง่าย ประกอบใช้งานเร็ว รับผลิต พร้อมระบุอัตราการไหลของน้ำตามต้องการ

  • ผลิตจากเนื้อพลาสติก POM มีความทนทานสูง
  • ระบบลูกปืน และสลักล่างเป็น Stainless แท้ ทั้งชิ้น
  • ทนทานต่อกรด ด่าง รวมทั้งน้ำยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ
  • ติดตั้งง่าย ประกอบใช้งานเร็ว
  • มียาง O-Ring ป้องกันน้ำรั่วโดยไม่ต้องพันผ้าเทป
  • รับผลิต พร้อมระบุอัตราการไหลของน้ำตามต้องการ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติก

การขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติก

วิธีการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกมีหลายวิธี แต่ที่สำคัญ และนิยมทำกัน ในวงการอุตสาหกรรมพลาสติกมีดังต่อไปนี้

๑. การขึ้นรูปด้วยเครื่องฉีดพลาสติกเข้าแม่พิมพ์ (Injection molding machine)

เป็นวิธีการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์โดยการฉีดพลาสติก ที่กำลังหลอมเหลวเข้าสู่แบบพิมพ์ ด้วยความดันสูง เครื่องจักรที่ใช้ในการนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นที่นิยมแพร่หลาย มีส่วนประกอบสำคัญคือ

  • ฮอปเปอร์ (Hopper)

อุปกรณ์ส่วนนี้มีลักษณะเป็นกรวยขนาดใหญ่ เป็นส่วนที่ใช้บรรจุเม็ดพลาสติก และสารเติมแต่ง เพื่อป้อนเข้าเครื่องฉีดพลาสติก

  • กระบอกฉีดและสกรู (Injector and screw)

เป็นส่วนสำคัญของเครื่องฉีดพลาสติก ทำหน้าที่หลอมเหลวพลาสติก และสร้างแรงดัน เพื่อฉีดพลาสติกหลอมเหลวเข้าสู่แม่พิมพ์ ประกอบด้วยกระบอกตรึงติดอยู่กับที่ ส่วนต้นของกระบอกเป็นที่ติดตั้งฮอปเปอร์ ตรงส่วนกลาง และส่วนปลายของกระบอก มีเครื่องให้ความร้อน ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ได้ ปลายของกระบอก จะต่อเข้ากับหัวฉีด ภายในของกระบอกนี้ เป็นสกรูที่มีความยาวสั้นกว่ากระบอกเล็กน้อย มีลักษณะเป็นเกลียวหยาบหมุนป้อนส่วนผสมของพลาสติก ให้เคลื่อนที่เข้าสู่กระบอก สามารถเคลื่อนถอยหลัง และดันกลับ เพื่อเพิ่มแรงดันให้พลาสติกหลอมเหลว ไหลเข้าสู่แม่พิมพ์

  • หัวฉีด (nozzle)

เป็นส่วนต่อปลายกระบอกฉีดพลาสติก เข้ากับช่องทางไหลของพลาสติกในแม่พิมพ์ หัวฉีดมีรูขนาดเล็ก เพื่อให้พลาสติกหลอมเหลว ไหลผ่านเข้าสู่ช่องว่างในแม่พิมพ์ ด้วยความรวดเร็ว

  • มอเตอร์ขับสกรู (Drived motor)

มอเตอร์ขับสกรู อาจเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า หรือมอเตอร์ไฮดรอลิก สำหรับหมุนสกรู และขับดันสกรู เพื่อฉีดพลาสติกที่กำลังหลอมเข้าสู่ช่องว่างในแม่พิมพ์

  • แม่พิมพ์ (mold)

เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นช่องว่าง ที่มีรูปร่างตามผลิตภัณฑ์ที่ต้องการผลิต แม่พิมพ์ โดยทั่วไปมักออกแบบให้มี ๒ ชิ้น เพื่อให้สะดวกต่อการถอดผลิตภัณฑ์ออกจากแม่พิมพ์ นอกจากนี้ ต้องมีช่องทางไหลของพลาสติกหลอมเหลวต่อจากหัวฉีด เข้าสู่ช่องว่างในแม่พิมพ์เรียกว่า สปรู (sprue)

  • ตัวหนีบยึดแม่พิมพ์ (Hydraulic clamp unit)

ตัวหนีบยึดแม่พิมพ์ซึ่งมักเรียกกันว่า แคล้ม เป็นกลไก สำหรับเปิดและปิดฝาแม่พิมพ์ ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฮดรอลิก อุปกรณ์ส่วนนี้ยังรวมทั้งอุปกรณ์ทำความร้อน เพื่ออุ่นแม่พิมพ์ก่อนฉีด และอุปกรณ์ทำความเย็น เพื่อลดอุณหภูมิแม่พิมพ์ ทำให้ผลิตภัณฑ์แข็งตัวก่อนถอดออกจากแม่พิมพ์

  • ชุดควบคุมกลาง (Central control)

เป็นชุดควบคุมเครื่องจักรรวมทุกส่วน ได้แก่ อุปกรณ์จ่ายกระแสไฟฟ้า อุปกรณ์วัดและควบคุมอุณหภูมิ อุปกรณ์ควบคุมความดัน และอุปกรณ์ตั้งเวลา

๒. การขึ้นรูปด้วยเครื่องรีดหรือเอกซ์ทรูเดอร์ (Extruder)

เครื่องจักรที่ใช้สำหรับการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกด้วยการรีดนี้ มีลักษณะคล้ายกับวิธีแรก แต่แตกต่างกันตรงที่ เอกซ์ทรูเดอร์ ไม่มีส่วนแม่พิมพ์ และอุปกรณ์ควบ สำหรับแม่พิมพ์ ตรงปลายกระบอกฉีดพลาสติก จะติดตั้ง ดาย (die) ซึ่งมีลักษณะเป็นช่องรีดพลาสติกออกมาเป็นเส้นหรือแผ่น ที่มีรูปหน้าตัดตามรูปดาย การขึ้นรูปด้วยวิธีนี้ สามารถประยุกต์ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ได้มากมาย เช่น ท่อหรือเส้นพลาสติก ถุงพลาสติก ฟิล์ม แผ่น หรือแท่งพลาสติกที่มีรูปหน้าตัดพิเศษ

๓. การขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์ความร้อน

เครื่องจักรที่ใช้ในการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ พลาสติกในลักษณะนี้ มักมีลักษณะไม่ซับซ้อนนัก และมักเรียกชื่อตามลักษณะวิธีการ คือ

  • การหล่อแบบพิมพ์แบบลดความดัน (Vacuum molding)
  • การหล่อแบบพิมพ์แบบอัด (Compression molding)
  • การหล่อแบบพิมพ์แบบถ่ายเท (Transfer molding)
  • การหล่อแบบพิมพ์แบบขยายตัวด้วย ความร้อน (Thermalexpansion molding)

๔. การขึ้นแผ่นด้วยการรีด (Carlendering)

เป็นการขึ้นรูปเป็นแผ่นด้วยลูกกลิ้ง ชุดละไม่น้อยกว่า ๓ ลูกขึ้นไป โดยลูกกลิ้ง ๒ ลูกแรก จะมีอุปกรณ์ให้ความร้อน ทำให้พลาสติกอ่อนนิ่ม แล้วถูกอัดรีดออกมาเป็นแผ่น

๕. การขึ้นรูปด้วยการจุ่ม (Dipping)

เป็นการขึ้นรูปอย่างง่าย มักใช้กับพลาสติกชนิดพลาสติซอล เช่น หุ้มด้ามเครื่องมือช่าง

๖. การหล่อแบบ (Casting)

การขึ้นรูปด้วยการหล่อแบบ มักนิยมใช้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีขนาดใหญ่ เช่น เรือเร็ว ตัวถังรถยนต์ ถังเก็บน้ำ รูปปั้น เป็นต้น

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

บรรจุภัณฑ์สลายตัว (Biodegradable Packaging)

บรรจุภัณฑ์สลายตัวการสลายคืออะไร

มลภาวะที่เป็นพิษที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ไม่มีแต่เพียงอากาศและน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ที่เหลือจากการใช้สินค้าหมดแล้วด้วย จึงได้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้บรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะพลาสติกสลายจากสภาพเดิม
คำว่า “สลาย” หรือ “สลายตัว” ที่ใช้กันอยู่กับพลาสติกนั้นมาจากคำภาษาอังกฤษว่า “degradation”
“Degradation” นั้น ศัพท์วิทยาศาสตร์ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายว่า “1. การเสื่อม 2. (เคมี) การทำให้แตกสลาย” ส่วน คำว่า “สลาย” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายว่า “แตก พัง ทลาย ละลาย” ซึ่งความหมายของบรรจุภัณฑ์สลายได้นั้นมีความหมายถึงการที่บรรจุภัณฑ์นั้นเปลี่ยนจากสภาพเดิมที่ดีไปสู่ สภาพที่ด้อยลงกว่าเดิม เช่น กระดาษที่จะเปื่อยยุ่ย หรือ แผ่นเหล็กเคลือบดีบุก ก็จะเกิดการผุกร่อน เป็นต้น แต่มิได้หมายความว่าสิ่งนั้นเมื่อ “สลาย” แล้ว “จะหายไปเลย”
การสลายสำหรับพลาสติกนั้นอาจจะใช้สิ่งมีชีวิต เช่น จุลินทรีย์ไปทำลายโครงสร้างของพลาสติก (biodegradable) หรือใช้พลังงานความร้อนจากแสงไปทำลายโครงสร้างของพลาสติก (photodegradable) โดยทำให้ความยาวของโมเลกุลสั้นลง และบางครั้งได้นำการสลายของพลาสติกนี้ไปสัมพันธ์กับคุณสมบัติทางฟิสิกส์ของพลาสติก เช่น การต้านแรงดึงขาด (tensile strength) และการยืดตัว (elongation) จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด เนื่องจากการที่คุณสมบัติในการต้านแรงดึงขาดและการยืดตัวของพลาสติกนั้น อาจจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นได้ด้วย
ดังนั้นการใช้คำว่า “สลาย” ที่จะกล่าวต่อไปในเรื่อง “บรรจุภัณฑ์สลายได้จริงหรือไม่” จะหมายถึงการที่สายของโมเลกุลของวัสดุจะถูกตัด ให้สั้นลงโดยสิ่งมีชีวิต เช่น จุลินทรีย์ หรือโดยแสงคือ รังสีอัลตราไวโอเลตหรือการเกิดปฏิกิริยาเคมี ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบและชนิดของวัสดุ การ ที่ความยาวของโมเลกุลของพลาสติกจะถูกตัดให้สั้นลงนั้น ปกติจะเป็นกระบวนการเติมออกซิเจน และอาจเกิดขึ้นได้แม้ว่าจะไม่มีแสง แต่จะเป็นไปอย่างช้ามาก วัสดุบางชนิดถ้ามีน้ำอยู่ด้วยจะช่วยให้ปฏิกิริยาของการสลายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว วัสดุทุกชนิดจะสลายได้เมื่อได้รับความร้อน

ไบโอพลาสติก Biodegradable Plastic

บรรจุภัณฑ์พลาสติกสลาย

พลาสติกเป็นวัสดุที่มักจะถูกกล่าวขวัญถึงอย่างมาก เมื่อใช้สินค้าหมดแล้วพลาสติกจะกลายเป็นขยะและจะคงสภาพอยู่ได้นาน ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆ แท้จริงแล้ว การคงสภาพของพลาสติกเป็นสิ่งจำเป็น
ในการ ใช้งานหลายๆ ด้าน การทำให้พลาสติกสลายได้นั้น คือ การลดการคงสภาพของพลาสติก ปัจจัยที่จะมีผลต่อการสลายตัวของพลาสติกได้แก่ แสง อุณหภูมิ ออกซิเจน ดิน และน้ำ เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องคงสภาพของพลาสติกไว้จนกว่าจะหมดอายุการใช้งานและทิ้งไป จึงทำให้พลาสติกเป็นวัสดุที่ทนต่ออุณหภูมิหรือออกซิเจน การที่จะให้พลาสติกมีความไวต่อน้ำนั้น ไม่เหมาะกับการนำพลาสติกไปใช้งานในบาง ประเภท และเป็นการยากที่จะทำให้สำเร็จได้ จึงไม่เป็นที่นิยมในการที่จะศึกษาให้พลาสติกสลายได้โดยน้ำ และให้ความสนใจในการสลายของพลาสติกโดยจุลินทรีย์ (biodegradation) และแสงอัลตราไวโอเลต (photodegradation) แทน แต่การสลายของพลาสติกโดยวิธีทั้งสองนี้จะไม่ เกิดขึ้น หากนำไปใช้งานในที่ร่ม
พลาสติกสลายโดยแสง
การที่จะทำให้พลาสติกสลายตัวได้ด้วยแสงอัลตราไวโอเลต นั้น มีวิธีการดังนี้

  1. จะต้องเติมสารบางชนิดที่ไวต่อแสงลงไป โดยทำให้เกิดการเติมออกซิเจนในโครงสร้างของโมเลกุล ทำให้พลาสติกมีคุณ– สมบัติเปราะแตกเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อ พลาสติกถูกลม ฝน หรือสิ่งแวดล้อม อื่นๆ บางระบบพลาสติกจะสลายได้เมื่อมีแสงเท่านั้น แต่บางระบบการเริ่มสลายของพลาสติกจะเริ่มด้วยการถูกแสง แล้วปฏิกิริยาจะเกิดต่อเนื่องไป แม้ว่าจะไม่ถูกแสงแล้วก็ตาม สำหรับระบบที่นำมาใช้ให้ได้ประโยชน์อย่างจริงจังนั้น สารที่ได้จากการ สลายตัวจะต้องไม่เป็นพิษ การวิจัยเพื่อให้พลาสติกสลายได้ด้วยแสงนั้น มีประวัติควบคู่ไปกับการวิจัย เพื่อป้องกันไม่ให้พลาสติกเสื่อมสภาพ เมื่อใช้งานกลางแจ้งสารที่ เติมลงในพลาสติกเพื่อช่วยให้พลาสติกสลายตัวด้วยแสงนั้น มักเรียกว่า “สาร ไวต่อแสง” (photosensitizer) ได้แก่ เกลือของโลหะหลายชนิด สารประกอบไนโตรโซ ควิโนน เบนโซฟีโนนและไดคีโตน สารเหล่านี้มักจะใช้กับฟิล์มพลาสติกที่ใช้ในการเกษตร ถุงใส่ของและถุงขยะ การเลือกว่าจะเติมสาร ชนิดใดลงไปนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะต้องคำนึงถึงการคงสภาพขณะการใช้งาน ระหว่างการผลิตและการใช้งานต้องไม่เสื่อมสภาพด้วยความร้อน ต้องไม่ทำให้เกิดกลิ่น รส หรือเปลี่ยนสีทั้งตัวบรรจุภัณฑ์และสินค้า ต้องเข้ากันได้ดีกับพลาสติกที่ใช้ และต้องรักษาหน้าที่ในการที่จะใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนของการผลิตหรือการบรรจุสินค้า นอกจากนี้หากใช้สำหรับอาหาร สารที่เติมลงไปจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และควรจะมีราคาถูกด้วย
  2. อีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการทำให้พลาสติกสลายได้ด้วยแสงนั้น คือ การเปลี่ยนโครงสร้างของพลาสติก โดยเปลี่ยนจากหมู่คาร์โบนิลให้เป็นคีโตน ในสหรัฐอเมริกาในหลายๆ มลรัฐ ได้บังคับให้ห่วงพลาสติกที่ใช้คล้องกระป๋องเข้าด้วยกันสลายได้ ห่วงพลาสติกนี้จะทำจากพลาสติกที่เป็นโคพอลิเมอร์ของเอทิลีน และคาร์บอนมอนอกไซด์ 1-2 % ห่วงพลาสติกนี้จะสลายได้ โดยใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนขึ้นอยู่กับปริมาณและความเข้มของรังสีอัลตราไวโอเลต ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีผู้ใดให้ความกระจ่างแจ้งได้ว่า สารที่เกิดจากการสลายตัวมีอะไรบ้าง และมีความเป็นพิษอย่างไร จากรายงานทราบแต่เพียงว่าพอลิโพรพิลิน (พีพี) นั้น เมื่อสลายแล้วจะให้ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ อะซีโตนและน้ำ พอลิเอทิลินเทอเรพทาเลต (พีอีที) จะให้ก๊าซคาร์บอน– มอนอกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์

บรรจุภัณฑ์พลาสติกสลายได้โดยกระบวนการทางชีววิทยา

ในการสลายตัวของพลาสติกตามกระบวนการทางชีววิทยานั้น โมเลกุลของพลาสติกอาจถูกสลายโดยแสงก่อน จนมีน้ำหนักโมเลกุลน้อยกว่า 1,000 คือเล็กพอที่จุลินทรีย์จะใช้เป็นอาหารได้ โครงสร้างของโมเลกุลที่มีแขนงจะสลายได้ยาก ดังนั้นพอลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำและพอลิโพรพิลิน จะสลายได้ยากกว่าพอลิเอทิลีน ความหนาแน่นสูง พอลิสไตรีน และสไตรีนโคพอลิเมอร์ และพอลิไวนิลคลอไรด์ (พีวีซี) ที่บริสุทธิ์จะสลาย ยาก พลาสติกไซเซอร์ ที่เติมลงในพีวีซีมักจะสลายได้
พอลิเมอร์สังเคราะห์ที่สลายได้คือ ประเภทที่ มีกลุ่มเชื่อมต่อระหว่างโมเลกุลที่สลายได้ด้วยน้ำ เช่น ไนลอน พอลิเอสเตอร์ และพอลิยูริเทน ชนิดและจำนวนของกลุ่ม เชื่อมต่อระหว่างโมเลกุลสลายได้ด้วยน้ำ และน้ำหนักโมเลกุลของพลาสติกเป็นปัจจัยสำคัญในการสลายของพลาสติกนั้นๆ
พอลิเมอร์ที่ได้จากธรรมชาตินั้น มักจะสลายได้ดยกระบวนการทางชีววิทยา แม้ว่าจะมีน้ำหนักโมเลกุลมากก็ตาม ดังนั้นเซลลูโลสและลิกนิน ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในต้นไม้และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ สลาย ได้ด้วยจุลินทรีย์หลายชนิด เซลโลเฟน ซึ่งเป็นเซลลูโลสที่คืนสภาพใหม่ (regenerated cellulose) เป็นฟิล์มที่สลายได้
เซลลูโลสและลิกนิน ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในต้นไม้และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ สลาย ได้ด้วยจุลินทรีย์หลายชนิด เซลโลเฟน ซึ่งเป็นเซลลูโลสที่คืนสภาพใหม่ (regenerated cellulose) เป็นฟิล์มที่สลายได้โครงสร้างของโคพอลิเมอร์ เนื่องจากกระบวนการในการทำให้กรดแล็กติก บริสุทธิ์นั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก จึงใช้ทางการแพทย์เท่านั้น
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาพลาสติกให้สลายได้ด้วยกระบวนการทางชีววิทยาโดยการเติมแป้งลงไปในพอลิเอทิลีน เพื่อให้แป้งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ หรืออาจจะเติมกรดเอทิลีนอะครีลิกหรือโปรออกซิเดนต์ลงในแป้งด้วย เพื่อช่วยให้พลาสติกสลายได้ง่ายขึ้นปัญหาและแนวทางแก้ไข

ยังมีปัญหาหลายประการที่ไม่อาจเชื่อมั่นได้ว่าบรรจุภัณฑ์สลายได้ จะช่วยแก้ปัญหาขยะได้ โดยเฉพาะพลาสติก
  • ประการที่ 1 วัสดุนั้นจะสลายได้อย่างที่แจ้งไว้หรือไม่ วัสดุนั้นสลายได้จริงหรือ ใช้เวลานานเท่าใด ในสภาวะอย่างไร เนื่องจากยังไม่มีนิยามและมาตรฐานที่แน่นอน แม้แต่กระดาษที่เคลือบด้วยสารอื่นก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสลายได้ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ จะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าวัสดุนั้นจะยังไม่ สลายตัวขณะที่ยังใช้งานอยู่
  • ประการที่ 2 คือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น พลาสติกที่สลายได้มักจะมีราคาแพงกว่าพลาสติกทั่วไป
  • ประการที่ 3 เรารู้แน่ชัดหรือยังว่า สารที่เกิดจากการสลายของบรรจุภัณฑ์นั้นคืออะไร จะเป็นอันตรายหรือไม่
  • ประการที่ 4 การทำให้บรรจุภัณฑ์สลายได้นั้นจะแก้ปัญหาเรื่องขยะได้หรือไม่ การฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะจะลดการซึมผ่านของน้ำ ทำให้เกิดสภาวะไร้อากาศ ซึ่งจะทำให้เกิดจุลินทรีย์เติบโตได้ยากมาก กระดาษที่สลายได้ง่ายก็ยังต้องใช้เวลานาน การสลายด้วยแสงจะไม่เกิดขึ้น หากใช้การฝังกลบ
  • ประการที่ 5 การสลายตัวของวัสดุส่วนมาก รวมทั้งพลาสติกในการฝังกลบ มักทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน ซึ่งมีผลทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกและ ทำให้โลกร้อนขึ้น

ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังมีการใช้พลาสติกสลายได้เป็นส่วนน้อยในวงจำกัด เนื่องจากตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าว ส่วนมากจะใช้วิธีนำไป หมุนเวียนใช้ประโยชน์ใหม่ (recycling) เผาเพื่อนำพลังงานมาใช้ประโยชน์และฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะ การนำสิ่งใดมาใช้กับบ้านเรานั้นควรจะต้อง ศึกษาให้ถ่องแท้ถึงผลได้ผลเสีย โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและความร่วมมือ อย่างจริงจังของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ประชาชน หรือผู้ประกอบการสิ่งที่ควรจะช่วยกันทำได้อย่างเป็นรูปธรรมในขณะนี้คือการสร้างจิตสำนึก เพื่อช่วยกันแยกบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วหรือขยะ โดยเริ่มต้นจากบ้านและที่ทำงาน เพื่อนำไปหมุนเวียนใช้ประโยชน์ใหม่ นอกจากจะเป็นการช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมแล้วยังป็นการสงวนทรัพยากร ประหยัดพลังงาน ลดปริมาณ

บรรจุภัณฑ์กระดาษ แก้ว และโลหะ

กระดาษ

จัดอยู่ในวัสดุที่สลายได้ตามกระบวนการทางชีววิทยา ส่วนประกอบสำคัญของกระดาษคือเซลลูโลสซึ่งเป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาล และเป็นอาหารของจุลินทรีย์หลายชนิดไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะที่มีออกซิเจนหรือไร้ออกซิเจน นอกจากจุลินทรีย์จะเจริญเติบโตโดยใช้น้ำตาลเป็นอาหารแล้ว ยังทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ กระดาษบางชนิดอาจจะมีเฮมิเซลลูโลสและลิกนิน ซึ่งเป็น ส่วนประกอบสำคัญของต้นไม้อยู่ด้วยและสามารถย่อยได้โดยจุลินทรีย์หลายชนิด
อัตราของการสลายของผลิตภัณฑ์กระดาษขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ส่วนประกอบทางเคมี สารที่เติมลงไปเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการฆ่าจุลินทรีย์และรา สภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้สลายปริมาณของจุลินทรีย์ ปริมาณออกซิเจน และความชื้น เป็นต้น ได้มีการรายงานว่า ในสภาวะของการฝังกลบที่ถูกสุขลักษณะหรือการที่นำกระดาษไปเคลือบ ไม่ว่าจะใช้ไขหรือพลาสติกจะทำให้การสลายของกระดาษเป็นไปได้ช้ามาก

แก้ว

เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติเฉื่อย ซึ่งจุลินทรีย์และออกซิเจนไม่สามารถทำลายได้ แม้ว่าแก้วจะมีปฏิกิริยากับน้ำ แต่อัตราการสลายของแก้วโดยน้ำเป็นไปได้ช้ามาก จึงไม่ควรทิ้งแก้วรวมไปกับขยะอื่น เพราะแก้วจะคงอยู่ในสภาพเดิม แก้วเป็นวัสดุที่เปราะและจะแตกเมื่อเกิดแรงเค้นทางกล เมื่อทิ้งแก้วรวมไปกับขยะอื่นแก้วอาจจะแตกเป็นชิ้นเล็กหรือไม่แตก แต่จะไม่ทำปฏิกิริยาเคมีกับวัสดุอื่นๆ
ได้มีการวิจัยเพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์แก้วให้ละลายได้ เนื่องจากแก้วมักจะใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบจึงเป็นการยากมากที่จะพยายามทำให้แก้วละลายในขณะที่ยังมีสินค้าบรรจุอยู่ ปัจจุบันยัง ไม่มีแก้วละลายได้ใช้ในการค้าและความหวังในเรื่องนี้ก็ค่อนข้างจะเลือนลาง

โลหะ

ได้แก่ เหล็กและอะลูมิเนียม โลหะทั้ง 2 ชนิดนี้จะไม่มีปฏิกิริยากับจุลินทรีย์แต่จะเสื่อมสภาพได้โดยการเติมออกซิเจน สนิมเหล็กเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างน้ำและออกซิเจน ทำให้เกิดออกไซด์ของเหล็ก การ สลายของเหล็กในการฝังกลบ จึงขึ้นอยู่กับปริมาณ ของออกซิเจนและน้ำ ถ้าเหล็กถูกเคลือบด้วยดีบุกหรือสารอินทรีย์ ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในการทำกระป๋องทั่วไป ปฏิกิริยาการเติมออกซิเจนจะเกิดได้ช้ามาก
อะลูมิเนียมก็อาจเกิดปฏิกิริยาการเติมออกซิเจนได้ แต่ออกไซด์ของอะลูมิเนียมจะติดแน่นกับผิวของโลหะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาต่อไปอีก ซึ่งจะตรงกันข้ามกับเหล็ก ซึ่งสนิมมักจะหลุดออกเป็นแผ่นอะลูมิเนียม จึงมีคุณสมบัติที่ต้านทานต่อปฏิกิริยาการเติมออกซิเจนมากกว่าเหล็ก เช่น แผ่นเปลวอะลูมิเนียม จะคงสภาพเดิมอยู่ได้นานถึง 5 ปี

Credit: mew6.com

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

เกี่ยวกับขวดพลาสติก

ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับขวดพลาสติก

ขวดพลาสติก ขวด สร้างขึ้นมาจาก พลาสติก ขวดพลาสติกมักจะใช้ในการจัดเก็บของเหลวเช่น น้ำน้ำอัดลมน้ำมัน น้ำมันปรุงอาหาร ยา แชมพู นม และ หมึก ขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กมากขวดตัวอย่างขนาดใหญ่

ขวดพลาสติกถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในปี 1947 แต่ยังคงค่อนข้างแพงจนถึงต้นปี 1960 เมื่อเอทิลีนความหนาแน่นสูงได้รับการแนะนำ พวกเขาได้อย่างรวดเร็วกลายเป็นที่นิยมกับทั้งผู้ผลิตและลูกค้าเนื่องจากลักษณะที่มีน้ำหนักเบาของพวกเขาค่อนข้างต่ำและต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับ แก้ว ขวด . ยกเว้นไวน์และเบียร์ อุตสาหกรรมอาหาร ได้เปลี่ยนเกือบหมดแก้วกับขวดพลาสติก

การผลิตขวดพลาสติก

ขวดพลาสติกที่เกิดขึ้นโดยใช้ความหลากหลายของเทคนิค ทางเลือกของวัสดุที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้

  • เอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) เป็นเม็ดพลาสติกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับขวดพลาสติก วัสดุนี้จะประหยัดทนต่อผลกระทบและอุปสรรคให้ความชุ่มชื้นดีHDPE เข้ากันได้กับหลากหลายของผลิตภัณฑ์รวมถึงกรดและ caustics แต่ไม่ได้เข้ากันได้กับ ตัวทำละลาย . มันจะได้รับการอนุมัติในองค์การอาหารและยาเกรดอาหาร HDPE โปร่งแสงเป็นธรรมชาติและมีความยืดหยุ่น นอกจากนี้สีจะทำให้กำลังการผลิต HDPE ทึบแสงแม้ว่าจะไม่มันวาว HDPE ยืมตัวเองได้อย่างง่ายดายเพื่อการตกแต่งหน้าจอไหม ในขณะที่ HDPE ให้การป้องกันที่ดีที่อุณหภูมิแช่แข็งด้านล่างมันไม่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปกว่า 160 ° F (71 ° C) หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้สุญญากาศ (สูญญากาศ) ประทับตรา
  • เอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (LDPE) จะคล้ายกับการผลิต HDPE ในองค์ประกอบ มันเป็นน้อยเข้มงวดและโดยทั่วไปน้อยกว่าที่ทนทานทางเคมี HDPE แต่โปร่งแสงมากขึ้น LDPE ใช้งานเป็นหลักสำหรับการใช้งานบีบ LDPE อย่างมีนัยสำคัญมีราคาแพงกว่า HDPE
  • Polyethylene Terephthalate (PET PETE หรือ โพลีเอสเตอร์ ) มักจะถูกใช้สำหรับเครื่องดื่มอัดลมขวดน้ำและผลิตภัณฑ์อาหารจำนวนมาก PET ให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดีมากและคุณสมบัติอุปสรรคน้ำมันหอมระเหยทนต่อสารเคมีที่ดีโดยทั่วไป (แม้ว่า acetones และคีโตนจะโจมตี PET) และระดับสูงของความทนต่อแรงกระแทกและแรงดึง กระบวนการ orienting ทำหน้าที่ในการปรับปรุงคุณสมบัติของก๊าซและอุปสรรคความชื้นและทนแรงกระแทก วัสดุนี้ไม่ได้ให้ความต้านทานต่ออุณหภูมิที่สูงมากการใช้งานสูงสุด อุณหภูมิ. 200 ° F (93 ° C)
  • วัสดุ Polyvinyl Chloride (PVC) เป็นที่ชัดเจนตามธรรมชาติมีความต้านทานที่ดีมากที่จะน้ำมันและมีการส่งผ่านออกซิเจนต่ำมาก มันมีอุปสรรคที่ดีในการปล่อยก๊าซมากที่สุดและต้านทานผลกระทบต่อการลดลงยังดีมาก สารนี้เป็นสารทนสารเคมี แต่มันก็เป็นความเสี่ยงที่จะตัวทำละลาย พีวีซีเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับน้ำมันสลัดน้ำมันแร่และน้ำส้มสายชู นอกจากนี้ยังเป็นที่ใช้กันทั่วไปสำหรับแชมพูและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง พีวีซีจัดแสดงนิทรรศการความต้านทานต่ำที่มีอุณหภูมิสูงและจะบิดเบือนที่ 160 ° F (71 ° C) ทำให้มันเข้ากันไม่ได้กับผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยความร้อน มันได้บรรลุความประพฤติไม่ดีในปีที่ผ่านมาเนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น
  • โพรพิลีน (PP) ถูกนำมาใช้เป็นหลักสำหรับขวดและฝาปิดและมีแพคเกจที่เข้มงวดกับอุปสรรคความชื้นที่ดีเยี่ยม ข้อดีอย่างหนึ่งที่สำคัญของโพรพิลีนเป็นเสถียรภาพที่อุณหภูมิสูงได้ถึง 220 ° F (104 ° C) โพรพิลีนเป็นหม้อนึ่งฆ่าเชื้อและมีศักยภาพในการฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำ ความเข้ากันได้ของ PP มีอุณหภูมิสูงบรรจุเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการใช้งานด้วยผลิตภัณฑ์ที่เติมร้อน PP มีความต้านทานต่อสารเคมีที่ดี แต่ให้ทนต่อแรงกระแทกไม่ดีในอุณหภูมิที่เย็น
  • สไตรีน (PS) ที่มีความคมชัดที่ยอดเยี่ยมและความมั่นคงในราคาที่ประหยัด เป็นที่นิยมใช้กับผลิตภัณฑ์แห้งรวมวิตามินเยลลี่ปิโตรเลียมและเครื่องเทศ สไตรีนไม่ได้ให้ความสามารถในการป้องกันที่ดีและการจัดแสดงนิทรรศการความต้านทานผลกระทบต่อคนยากจน
  • พลาสติกชีวภาพ – โครงสร้างโพลิเมอร์ขึ้นอยู่กับวัสดุชีวภาพการประมวลผลมากกว่า ปิโตรเคมี .

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

วัสดุขวดพลาสติก (Plastic Bottle Resin Material)

Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) come in a variety of materials (resins). Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) produced from HDPE material are the most common and least expensive. Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) produced from PET material are crystal clear. Plastic Jars (กระปุกพลาสติก) produced from PP material are resilient and economical. Plastic Jars (กระปุกพลาสติก) made from PS are clear.

This section provides a brief description of common plastic bottle resin materials, their qualities, usages and limitations.

The Plastic Bottle Material Code System ระบบรหัสวัสดุขวดพลาสติก

Recycling has been aided by the creation of The Plastic Bottle Material Code System. This system is designed to be easy to read at a glance and distinguishable from any other marking on the bottom of a container. Where this system is in place, these symbols are required to appear on all bottles 8 oz. and greater.

Type of Plastics Code System

The symbol consists of a triangle formed by three “chasing arrows”, with a specific number in the center that indicates the material from which the bottle is made. The number/material equivalents are:
The number code is then supplemented by the common letter indication for the various resins under the symbol, to serve as a constant verification of the material sorted.

Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) – High Density Polyethylene (HDPE)

HDPE is the most widely used resin for Plastic Bottles (ขวดพลาส
ติก). This material is economical, impact resistant, and provides a good moisture barrier. HDPE is compatible with a wide range of products including acids and caustics but is not compatible with solvents. It is supplied in FDA approved food grade.

Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) made from HDPE are naturally translucent and flexible. The addition of color will make HDPE bottles opaque although not glossy.
HDPE Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) lend themselves readily to silk screen decoration. While HDPE bottles provide good protection at below freezing temperatures, they cannot be used with products filled at over 190° F or products requiring a hermetic (vacuum) seal. HDPE is NOT suitable for use with essential oils.

Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) – Low Density Polyethylene (LDPE)

LDPE is similar to HDPE in composition. It is less rigid and generally less chemically resistant than HDPE, but is more translucent. LDPE is used primarily for squeeze applications. LDPE is significantly more expensive than HDPE

Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) – PET

Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) made from Polyethylene Terephthalate are commonly used for carbonated beverage bottles. PET provides very good alcohol and essential oil barrier properties, generally good chemical resistance (although acetones and ketones will attack PET) and a high degree of impact resistance and tensile strength. The orienting process serves to improve gas and moisture barrier properties and impact strength.

This material does not provide resistance to high temperature applications — max. temp. 160° F.

Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) – Polyvinyl Chloride (PVC)

Plastic Bottles (ขวดพลาสติก) made PVC are naturally clear, have extremely good resistance to oils, and have very low oxygen transmission. PVC bottles provide an excellent barrier to most gases and drop impact resistance is also very good. This material is chemically resistant, but it is vulnerable to solvents.

PVC bottles are an excellent choice for salad oil, mineral oil, and vinegar. It is also commonly used for shampoos and cosmetic products. PVC exhibits poor resistance to high temperatures and will distort at 160° F, making it incompatible with hot filled products

Plastic Jars (กระปุกพลาสติก) – Polypropylene (PP)

Plastic Jars (กระปุกพลาสติก) made from polypropylene provide a rigid package with an excellent moisture barrier.

One major advantage of polypropylene is its stability at high temperatures, up to 200° F. Polypropylene bottles and jars are autoclavable and offer the potential for steam sterilization. The compatibility of PP with high filling temperatures is responsible for its use with hot fill products such as pancake syrup.

PP bottles have excellent chemical resistance, but provide poor impact resistance in cold temperatures

Plastic Jars (กระปุกพลาสติก) – Polystyrene (PS)

Plastic Jars (กระปุกพลาสติก) made from styrene offer excellent clarity and stiffness at an economical cost. These jars are commonly used with dry products including vitamins, petroleum jellies, and spices. Styrene does not provide good barrier properties, and exhibits poor impact resistance.

Plastic Spec

 

 

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Blow molding (เป่าขึ้นรูป)

Blow molding is a manufacturing process by which hollow plastic parts are formed. In general, there are three main types of blow molding: extrusion blow molding, injection blow molding, and injection stretch blow molding. The blow molding process begins with melting down the plastic and forming it into a parison or in the case of injection and injection stretch blow moulding (ISB) a preform. The parison is a tube-like piece of plastic with a hole in one end through which compressed air can pass.

The parison is then clamped into a mold and air is blown into it. The air pressure then pushes the plastic out to match the mold. Once the plastic has cooled and hardened the mold opens up and the part is ejected.

History of blow molding (ประวัติความเป็นมาการเป่าขึ้นรูป)

Enoch Ferngren and William Kopitke were the first verified people who used the blow molding process. The process principle comes from the idea of glassblowing. Ferngren and Kopitke produced a blow molding machine and sold it to Hartford Empire Company in 1938. This was the beginning of the commercial blow molding process. During the 1940s the variety and number of products was still very limited and therefore blow molding did not take off until later. Once the variety and production rates went up the number of products created followed soon afterwards. In the United States soft drink industry, the number of plastic containers went from zero in 1977 to ten billion pieces in 1999. Today, even a greater number of products are blown and it is expected to keep increasing.

For amorphous metals, also known as bulk metallic glasses (BMGs), blow molding has been recently demonstrated under pressures and temperatures comparable to plastic blow molding. This technique allows molding BMGs with an about 50 times higher strength than plastics into shapes that were previously not achievable with crystalline metals.

Extrusion blow molding (แม่พิมพ์เป่ารีด)

In blow molding (EBM), plastic is melted and extruded into a hollow tube (a parison). This parison is then captured by closing it into a cooled metal mold. Air is then blown into the parison, inflating it into the shape of the hollow bottle, container, or part. After the plastic has cooled sufficiently, the mold is opened and the part is ejected. Continuous and Intermittent are two variations of Extrusion Blow Molding. In Continuous Extrusion Blow Molding the parison is extruded continuously and the individual parts are cut off by a suitable knife. In Intermittent blow molding there are two processes: straight intermittent is similar to injection molding whereby the screw turns, then stops and pushes the melt out. With the accumulator method, an accumulator gathers melted plastic and when the previous mold has cooled and enough plastic has accumulated, a rod pushes the melted plastic and forms the parison. In this case the screw may turn continuously or intermittently with continuous extrusion the weight of the parison drags the parison and makes calibrating the wall thickness difficult. The accumulator head or reciprocating screw methods use hydraulic systems to push the parison out quickly reducing the effect of the weight and allowing precise control over the wall thickness by adjusting the die gap with a parison programming device.
EBM processes may be either continuous (constant extrusion of the parison) or intermittent. Types of EBM equipment may be categorized as follows:
Examples of parts made by the EBM process include most polyethylene hollow products, Milk bottles, shampoo bottles, Automotive ducting, watering cans and hollow industrial parts such as drums.
Advantages of blow molding include: low tool and die cost; fast production rates; ability to mold complex part; Handles can be incorporated in the design.
Disadvantages of blow molding include: limited to hollow parts, low strength, to increase barrier properties multilayer parisons of different materials are used thus not recyclable. To make wide neck jars spin trimming is necessary

Spin trimming (หมุนตัด)

Containers such as jars often have an excess of material due to the molding process. This is trimmed off by spinning a knife around the container which cuts the material away. This excess plastic is then recycled to create new moldings. Spin Trimmers are used on a number of materials, such as PVC, HDPE, PE+LDPE. and Different types of the materials have their own physical characteristics affecting trimming. For example, moldings produced from amorphous materials are much more difficult to trim than crystalline materials. Titanium coated blades are often used rather than standard steel to increase life by a factor of 30 times.

Injection blow molding (แม่พิมพ์เป่าฉีด)

The process of injection blow molding (IBM) is used for the production of hollow glass and plastic objects in large quantities. In the IBM process, the polymer is injection molded onto a core pin; then the core pin is rotated to a blow molding station to be inflated and cooled. This is the least-used of the three blow molding processes, and is typically used to make small medical and single serve bottles. The process is divided into three steps: injection, blowing and ejection.
The injection blow molding machine is based on an extruder barrel and screw assembly which melts the polymer. The molten polymer is fed into a hot runner manifold where it is injected through nozzles into a heated cavity and core pin. The cavity mold forms the external shape and is clamped around a core rod which forms the internal shape of the preform. The preform consists of a fully formed bottle/jar neck with a thick tube of polymer attached, which will form the body. similar in appearance to a test tube with a threaded neck.
The preform mold opens and the core rod is rotated and clamped into the hollow, chilled blow mold. The end of the core rod opens and allows compressed air into the preform, which inflates it to the finished article shape.
After a cooling period the blow mold opens and the core rod is rotated to the ejection position. The finished article is stripped off the core rod and as an option can be leak-tested prior to packing. The preform and blow mold can have many cavities, typically three to sixteen depending on the article size and the required output. There are three sets of core rods, which allow concurrent preform injection, blow molding and ejection.
Advantages: It produces an injection moulded neck for accuracy.
Disadvantages: only suits small capacity bottles as it is difficult to control the base centre during blowing. No increase in barrier strength as the material is not biaxially stretched. Handles can’t be incorporated.

Injection Stretch blow molding process (กระบวนการฉีดยืดเป่า)

This has two main different methods, namely Single stage and two stage process. Single stage process is again broken down into 3 station and four station machines In the two stage Injection stretch blow molding (ISB) process, the plastic is first molded into a “preform” using the injection molding process. These preforms are produced with the necks of the bottles, including threads (the “finish”) on one end. These preforms are packaged, and fed later (after cooling) into a reheat stretch blow molding machine. In the ISB process, the preforms are heated (typically using infrared heaters) above their glass transition temperature, then blown using high pressure air into bottles using metal blow molds. The preform is always stretched with a core rod as part of the process.
Advantages: Very high volumes are produced. Little restriction on bottle design. Preforms can be sold as a completed item for a third party to blow Disadvantages: High capital cost. Floor space required is high. Only suits round bottles
In the single-stage process both preform manufacture and bottle blowing are performed in the same machine. The older 4 station method of Injection, Reheat, Stretch blow and Ejection is more costly than the 3 station machine which eliminates the reheat stage and uses latent heat in the preform thus saving costs of energy to reheat and 25% reduction in tooling. The process explained: Imagine the molecules are small round balls, when together they have large air gaps and small surface contact, by first stretching the molecules vertically then blowing to stretch horizontally the biaxial stretching makes the molecules a cross shape. These “crosses” fit together leaving little space as more surface are is contacted thus making the material less porous and increasing barrier strength against permeation. This process also increases the strength to be ideal for filling with carbonated drinks.

Injection Stretch blow molding process (กระบวนการฉีดยืดเป่า)

  • Injection Stretch blow molding process Advantages

    Highly suitable for low volumes and short runs. As the preform is not released during the entire process the preform wall thickness can be shaped to allow even wall thickness when blowing rectangular and non-round shapes.

  • Injection Stretch blow molding process Disadvantages

    Restrictions on bottle design. Only a champagne base can be made for carbonated bottles.

 

Credit: wikipedia

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Plastic Packaging

Plastic Packaging

Many people may think of packaging only for a few moments when tearing open a new toy or mp3 player. However, packaging serves many masters: marketers, consumers, regulators, logistics engineers, recyclers, and more.
The adaptability of plastic packaging allows it to meet a variety of needs. As packaging moves from design phase through recovery/disposal, the varying types of plastics and their unique properties enable many of the choices made along the way: color, weight, size, shape, utility, printing, protection and so on.
Take a look below at the popular plastic polymers (resins) used in packaging, some benefits of plastic packaging, and some key points about food safety. And travel back in time to review major milestones in plastic packaging…

Plastic resins (polymers) for packaging

Many consumers already are familiar with the numbers and arrows on plastic packaging. These identification codes indicate the type of polymer (sometimes called plastic resin) the packaging is made from. While the resin code has its origins primarily in recycling, it also serves as sort of a primer for recognizing the most common plastics used in packaging: 1) polyethylene terephthalate, 2) high density polyethylene, 3) polyvinyl chloride, 4) low density polyethylene, 5) polypropylene, 6) polystyrene and 7) other. The resins often are identified by their acronyms: 1) PET, 2) HDPE, 3) PVC, 4) LDPE, 5) PP, 6) PS and 7) other.

The specific properties of each resin make them more or less suitable for different kinds of packaging (and other) applications. » view a chart of plastic resin identification codes

Benefits

To be useful, packaging must safely protect and deliver a product from the manufacturer to the consumer. Packaging must meet regulatory requirements—for example, pharmaceutical and drug packaging is tightly regulated; so is any packaging in contact with food. Packaging must protect the contents from damage and leaking. And it must meet expectations regarding aesthetics, merchandising, cost, ease of use, ease of opening and resealing, weight, fuel savings, greenhouse gas emissions, and so on. The right plastic packaging can deliver on these expectations, whether protecting fragile medical equipment or fresh foods. » learn more about innovations in plastic packaging
Plastics help bring home more product with less packaging. Plastic packaging in general is lightweight and strong—different plastics can be molded, extruded, cast and blown into seemingly limitless shapes and films or foams. This resourcefulness often delivers while using minimal resources, creating less waste, consuming fewer resources and creating fewer CO2 emissions than alternative materials. Plastics make packaging more efficient, which ultimately conserves resources.
Modern plastic food packaging—such as heat-sealed plastic pouches and wraps—helps keep food fresh and protects it from contamination. Packaging experts estimate that each pound of plastic packaging can reduce food waste by up to 1.7 pounds. » learn more

Plastic in Food safety

From airtight wraps to shelf stable containers, plastic packaging plays a key role in delivering a safe food supply, from farm to table and is a material of choice for freezing foods for longer term storage. Plastics have also driven innovations in packaging design. For example, modified atmosphere packaging helps preserve food freshness by capturing a reduced-oxygen air mixture in a plastic package. This technique can extend a product’s shelf life by slowing the growth of bacteria.


In the United States, the Food and Drug Administration regulates the safety of food-contact packaging, including plastics used in contact with food. Many plastics, such as polystyrene and polyethylene, have been used in food packaging for decades. All food-contact packaging materials must pass FDA’s stringent approval process—the agency must find them safe for use in a specific packaging application—before they can be put on the market.
Like everything in this world, questions arise around plastic packaging safety, sometimes based on real issues…and sometimes not. To help answer these and other questions, here are resources on plastic packaging and food safety, styrene and plastic foodservice packaging, bisphenol A (BPA) used to make polycarbonate plastics and epoxy resins, polyvinyl chloride (PVC) plastic packaging and plastic bags and film.
And here’s a site dedicated to busting some of the myths about plastics, including packaging.

Credit: Plasticpackagingfacts.org

For more information about Plastic Packaging, visit us at www.kvjunion.com

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →
Page 1 of 2 12